เสฐียรพงษ์ วรรณปก : พระมหากรุณาของพระพุทธองค์

ท่านมหาน้อย อาจารยางกูร ชาวแปดริ้ว เปรียญ 7 ประโยค แห่งสำนักวัดสระเกศวรมหาวิหาร (วัดที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์สถิตอยู่ในปัจจุบันนี้แหละครับ)

ท่านผู้นี้เป็นปราชญ์ในด้านภาษาบาลีและภาษาไทย ได้แต่งตำราภาษาไทยที่คนรุ่นพ่อผมได้เรียนกัน (รุ่นผมไม่ได้เรียน) อาทิ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน พิศาลการันต์

บรรดาศักดิ์ของท่าน พระยาศรีสุนทรโวหาร ท่านได้แต่งคำประพันธ์มนัสการพระรัตนตรัยไพเราะมาก ที่คนรุ่นผมสวดในโรงเรียนประจำ (รุ่นลูกผมไม่ได้สวดแล้ว) คือบทขึ้นต้นด้วย องค์ใดพระสัมพุทธ นั้นแล

ตอนหนึ่งว่า “องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร โปรดหมู่ประชากร มะละโอฆะกันดาร ชี้ทางบรรเทาทุกข์และชี้สุขเกษมศานต์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย”

ครับ พรรณนาพระมหากรุณาของพระพุทธเจ้าด้วยคำไม่กี่คำแต่ครอบคลุม ลึกซึ้ง และกินใจเป็นอย่างยิ่ง พระมหากรุณาของพระพุทธองค์นั้นไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ

พระเทวทัตผู้ตั้งตัวเป็นศัตรูจองล้างจองผลาญพระองค์แบบแลกด้วยชีวิต ภายหลังอาพาธหนัก สำนึกในความผิดมหันต์ของตน รำพึงเบาๆ ว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงมีความขุ่นเคืองในตัวท่านแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ตัวท่านร้ายต่อพระองค์ปานฉะนี้ แล้วคิดจะไปกราบขอขมา แต่ไม่ทันได้ขอขมาก็มีอันเป็นไปก่อน

พระอรรถกถาจารย์สำนองความรู้สึกของพระเทวทัต กล่าวคาถายืนยันว่า “พระผู้มีพระภาคนั้น ทรงมีพระทัยเสมอกัน (ทรงรักเท่ากัน) ในคนและสัตว์ทั้งหมดนี้คือ นายขมังธนู (ที่ไปยิงพระองค์) พระเทวทัต โจรองคุลิมาล ช้างธนบาล (ช้างนาฬาคิรี) และพระราหุล พุทธชิโนรส”

เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ ผมขอนำเรื่องของผู้ที่ได้รับพระมหากรุณาจากพระพุทธองค์มาเล่าให้ฟังสัก 3 – 4 ตอน หรือมากกว่านั้น ท่านเหล่านี้ถ้าไม่ได้พระพุทธองค์ทรงช่วยเหลือ ก็ไม่แน่ใจว่าชีวิตจะจมปลักอยู่นานแสนนานสักเท่าใด

เริ่มด้วยเรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าก่อนก็แล้วกัน พระหนุ่มรูปหนึ่งบวชด้วยศรัทธาที่จะประพฤติพรหมจรรย์เพื่อมรรคผลนิพพาน ดุจดังสาวกรูปอื่น ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามกำลังสามารถ อยู่มาวันหนึ่งได้ยินพระหนุ่มด้วยกันพูดถึงนางนครโสเภณีคนหนึ่ง ว่านางเป็นคนใจบุญสุนทาน ใส่บาตรพระทุกวัน

และเหนืออื่นใด นางสวย สวยมากจริงๆ ขนาดผมเจริญอสุภกรรมฐานเป็นนิตย์ ยังอดชมความงามของเธอมิได้ ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งพูด

พูดเล่นหรือพูดจริงไม่รู้ละครับ แต่ภิกษุหนุ่มรูปนี้ได้ยินเข้าก็เป็นอย่างที่เมียน้อยนักปฏิวัติท่านหนึ่งพูดกับผู้สื่อข่าวว่า พอพบท่านเท่านั้นก็วูบทันทีว่านี่แหละเนื้อคู่เรา อะไรทำนองนั้น กามเทพซุกซนแผลงศรปักอกหนุ่มเข้าให้แล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้า

คืนนั้นทั้งคืนนอนหลับหรือไม่ไม่ทราบ เดาเอาว่าคงหลับๆ ตื่นๆ แหละน่า ตื่นเช้าขึ้นก็ครองจีวรเดินตรงไปยังคฤหาสน์ของนางนครโสเภณีคนนั้น (ตำแหน่งนครโสเภณี พระราชาทรงแต่งตั้ง มีเงินเดือนกินแพงๆ ย่อมไม่อยู่บ้านกระจอกแน่นอน)

ไปถึงก็ยืนสงบสำรวมที่หน้าคฤหาสน์

พระหนุ่มหารู้ไม่ว่า เมื่อวันก่อนหลังใส่บาตรเสร็จ นางนครโสเภณีคนนี้ อ้อ ลืมบอกไปเธอคือ นางสิริมา น้องสาวของหมอชีวก โกมารภัจจ์ ป่วยกะทันหัน แต่รุ่งเช้าขึ้นก็ไม่งดใส่บาตร ให้สาวใช้พยุงมาใส่บาตรพระเช่นเคย

ภิกษุหนุ่มเห็นนางสิริมาแล้ว ก็รำพึงว่า โอ ขนาดนางป่วยหนัก ไม่แต่งหน้าทาปากอะไร ยังสวยปานนี้ ถ้าไม่ป่วยนางจะสวยปานไฉนหนอ ก็ช่างคิดห่างไกลพรหมจรรย์ดุจดังยันดะอะไรปานนั้น

เธอรับข้าวจากนางสิริมาแล้วก็รีบกลับวัด ไปถึงก็วางบาตรไว้ตรงนั้นแหละ ไม่ฉันไม่เฉินมันแล้วข้าว นอนคลุมโปงครางหงิงๆ อยู่ มิไยเพื่อนภิกษุด้วยกันจะปลอบโยนอย่างไรก็ไม่ฟัง

ภิกษุหนุ่มมัวรำพึงรำพันถึงนางสิริมา หารู้ไม่ว่าหลังจากใส่บาตรให้เธอเช้าวันนั้นแล้ว นางก็สิ้นชีวิตลง พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่าสาวกผู้น่าสงสารของพระองค์กำลังป่วยเป็นไข้ใจอย่างหนัก สบโอกาสจะเยียวยารักษาพอดี จึงมีพุทธบัญชาไปยังพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า อย่าเพิ่งเผาศพนางสิริมา ให้นำนางไปไว้ที่ป่าช้าผีดิบ (อามกสุสาน สุสานที่ไม่เผาศพ เอาศพทิ้งไว้ให้แร้งกามากิน)

แล้วพระองค์ก็ให้ประกาศทั่วพระเชตวันว่า พระบรมศาสดาจะเสด็จไปทอดพระเนตรนางสิริมา ภิกษุรูปใดจะตามเสด็จไปดูบ้าง

กำลังครางหงิงๆ อยู่ ได้ยินดังนั้นภิกษุหนุ่มก็ลุกพรวดรีบเทข้าวบูดออกจากบาตร ล้างบาตรแล้ว ครองจีวรจ้ำอ้าวๆ ตามไปยืนข้างหลังภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงยืนหน้าศพนางสิริมา ทรงให้ประกาศดังๆ ว่า ใครอยากได้นางสิริมาไปอภิรมย์จ่ายเงินมาหนึ่งพันกหาปณะ

สิ้นเสียงประกาศมีแต่ความเงียบ ไม่มีใครแจ้งความจำนงสักราย

เสียงประกาศลดลงเรื่อยๆ ห้าร้อย…สี่ร้อย…สามร้อย…สองร้อย…หนึ่งร้อย…ห้าสิบ…ฯลฯ จนกระทั่งถึงกากณิกหนึ่ง (คงประมาณสลึงเฟื้องทำนองนั้น) ก็ยังคงมีแต่ความเงียบเช่นเคย

ถ้าเช่นนั้น ให้เปล่าๆ ใครอยากได้นางสิริมา เอาไปเลย

เสียงประกาศก้องเป็นครั้งสุดท้าย เงียบเช่นเคย ไม่มีใครสักคนร้องบอกว่า ฉันเอง พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูเอาเถอะท่านทั้งหลาย เมื่อนางยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องจ่ายถึงพันกหาปณะ เพื่ออภิรมย์กับนางเพียงครู่เดียว บัดนี้ให้เปล่าๆ ก็ไม่มีใครต้องการ” แล้วตรัสพระคาถาว่า

“จงดูร่างกายที่ว่าสวยงามนี้เถิด เต็มไปด้วยแผล สร้างขึ้นด้วยกระดูก มากด้วยโรค มากด้วยความครุ่นคิดปรารถนาหาความยั่งยืนถาวรมิได้”

ว่าแล้วก็ทรงหันมายังภิกษุหนุ่มที่ยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ เธอดุจดังคนสร่างเมา ดุจดังคนหลับฟื้นตื่นจากการหลับฝันร้าย สติสัมปชัญญะกลับสู่เนื้อสู่ตัว ก้มลงกราบแทบพระบาท ขนลุกชูชัน เกือบไปไหมล่ะกู อะไรทำนองนั้น

นับว่าเป็นพระมหากรุณาของพระพุทธองค์ที่ทรงช่วยไว้ทันท่วงที หาไม่คงกลายเป็นยันดะที่หนึ่ง ก่อนยันดะในศตวรรษที่ยี่สิบหกไปแล้ว