Post Malone ศิลปินหนุ่มที่เป็นมากกว่าแร็พเปอร์

บทความพิเศษ | ศรัณยู ตรีสุคนธ์

 

Post Malone

ศิลปินหนุ่มที่เป็นมากกว่าแร็พเปอร์

 

ท่ามกลางป๊อปสตาร์จำนวนนับไม่ถ้วนในอุตสาหกรรมดนตรีโลก Post Malone ถือเป็นศิลปินที่สร้างสรรค์งานเพลงออกมาได้อย่างโดดเด่น, แตกต่างและเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดคนหนึ่ง

Stoney และ Beerbong & Bentleys สตูดิโออัลบั้มสองชุดแรกของเขามีดนตรี Trap Music ซึ่งเป็นอีกแขนงหนึ่งของวัฒนธรรมเพลงฮิปฮอปที่มาจากรัฐทางใต้ของอเมริกาเป็นพระเอก

จุดเด่นของดนตรีแนวนี้อยู่ที่การใช้เสียงสังเคราะห์และการใช้เสียงไฮแฮทเพื่อสร้างจังหวะสั้นๆ และถี่รัว, มีเสียงคิกดรัมหนักๆ ที่กระตุ้นเร้าอารมณ์

โดย Post Malone นำดนตรีฮิปฮอปร่วมสมัยแนวนี้มาผสมผสานกับเพลงคันทรี่, อะคูสติกป๊อป และนีโอ อาร์แอนด์บี ได้อย่างกลมกลืน

หลังจากที่ลองนำกลิ่นอายของดนตรีร็อกและคันทรีมาใส่ไว้อัลบั้ม 2 ชุดแรกได้อย่างมีสีสัน

Hollywood’s Bleeding สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ของ Post Malone แสดงออกถึงตัวตนของเขาออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุด

นี่คืองานเพลงที่นำดนตรี กรันจ์ ร็อก, คันทรี, โฟล์ก, ซินธ์ ป๊อป หรือแม้กระทั่ง ดรีม ป๊อป มาคลุกเคล้าเข้าไว้ด้วยกันกับ Trap Music และฮิปฮอปร่วมสมัยได้จนกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน

เรียกได้ว่าถ้าหากเปรียบงานเพลงชุดนี้เป็นแกงมัสมั่น ซึ่งถือเป็นแกงไทยที่ทำออกมาให้มีรสชาติถึงเครื่องพริกแกงได้ยากมากที่สุดท่ามกลางแกงไทยทั้งหมด งานเพลงชุดนี้ก็เรียกได้ว่าทำออกมาได้อย่างครบเครื่องถึงใจ เป็นแกงมัสมั่นที่มีรสชาติจัดจ้านที่แสดงให้เห็นถึงรสมือที่จัดจ้านของ Post Malone จริงๆ

เพลงอย่าง Circles, Rockstar และ Sunflower ต่างก็เป็นเพลงฮิตของ Post Malone แต่สไตล์ดนตรีของแต่ละเพลงเรียกได้ว่าแตกต่างกันมากจนถ้าหากบอกว่าทั้งสามเพลงนี้เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของศิลปินคนเดียวกันก็ยากจะเชื่ออยู่เหมือนกัน

แต่ภาพลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์จากรูปกายภายนอก, นิสัยใจคอที่เป็นมิตรต่อทุกคน ไปจนถึงการทำเพลงของ Post Malone ก็มีที่มาที่น่าสนใจ

 

Post Malone มีชื่อจริงว่า ออสติน ริชาร์ด โพสต์ เกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 1995 เขาหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของดนตรีและซึมซับมันเข้ามาในตัวทีละน้อยจากเพลงหลากหลายแนวที่ริชาร์ด โพสต์ คุณพ่อของเขาที่มีอาชีพเป็นดีเจเปิดให้ฟัง

แต่ดนตรีที่เขาชอบมากที่สุดก็คือฮิปฮอป, ร็อก และคันทรี

เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ Post Malone เล่นคือกีตาร์ โดยเขาหัดเล่นกีตาร์ด้วยตัวเองจากการเล่นวิดีโอเกม Guitar Hero ที่ทำให้เขาได้รู้จักกับเพลงคลาสสิคร็อกมากมาย

ก่อนที่จะเริ่มก้าวเข้าสู่การเป็นศิลปินอาชีพด้วยการเป็นสมาชิกในวงเฮฟวี่เมทัล ซึ่งเป็นสไตล์ดนตรีที่ซึมซับอยู่ในสายเลือดนักดนตรี Post Malone มาโดยตลอด ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะเป็นที่รู้จักในฐานะแร็พเปอร์มากกว่าร็อกสตาร์ก็ตาม

Post Malone เริ่มทำมิกซ์เทปเป็นครั้งแรกในวัย 16 ปี และเพื่อนๆ มองว่าเขาจะต้องเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลกในอนาคตแน่นอน เมื่อเรียนในระดับอุดมศึกษา Post Malone ตัดสินใจออกจากวิทยาลัยกลางคันและย้ายจากรัฐเท็กซัสไปยังลอสแองเจลิสเพื่อทำตามความฝันในการเป็นศิลปินอาชีพ

เขาตั้งวงดนตรีที่มีชื่อว่า BLCKVRD ร่วมกับเพื่อนๆ และโปรดิวเซอร์ที่อยู่ในแอลเอ

ในช่วงนี้นี่เองที่ทำให้เขาได้พบกับ FKi 1st และ Sauce Lord Rich ที่รับหน้าที่โปรดิวซ์เพลง White Iverson ที่ Post Malone ใช้เวลาบันทึกเสียงเพียงสองวันเท่านั้น

และหลังจากที่ปล่อยเพลงเพลงนี้ลง SoundCloud เมื่อปี 2015 White Iverson ก็ได้รับเสียงชื่นชมจากแร็พเปอร์รุ่นพี่อย่าง Mac Miller และ Wiz Khalifa ซึ่งทำให้เขาได้เซ็นสัญญาทำเพลงกับค่ายเพลงชื่อดังอย่าง Republic Records

 

การได้ร่วมงานกับแร็พเปอร์อันดับต้นๆ ของวงการอย่าง 50 Cent, Young Thug, Kanye West ทำให้ Post Malone นำประสบการณ์ในการทำเพลงกับศิลปินรุ่นพี่มาประยุกต์กับงานเพลงของตัวเอง ซึ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างการร้องเพลงและการแร็พบางลง

กล่าวคือ เราสามารถมองได้ว่าวิธีการขับขานบทเพลงในแบบของ Post Malone นั้นเป็นได้ทั้งการร้องเพลงแบบปกติและแร็พในเวลาเดียวกัน ซึ่งการร้องและแร็พลักษณะนี้ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อวงการดนตรีฮิปฮอปร่วมสมัย

การนำดนตรีโฟล์กในแบบบ็อบ ดีแลน ที่ Post Malone ชื่นชอบมาผสมผสานกับดนตรีคันทรีที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากจอห์นนี แคช, ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์หลอนๆ และกรันจ์ ร็อก โดยเฉพาะอย่างวง Nirvana ก็ยิ่งทำให้ Post Malone มีสไตล์ดนตรีมีความเฉพาะตัวสูงมาก

เหมือนที่เจ้าตัวเคยพูดถึงงานเพลงของตัวเองว่า “ไร้ซึ่งคำจำกัดความทางแนวดนตรี” (genre-less)

ซึ่งก็เห็นได้ชัดจากอัลบั้ม Twelve Carat Toothache อัลบั้มชุดที่ 4 ซึ่งเป็นงานเพลงในแนวอิเล็กทรอนิกส์/ป๊อป และสโลว์คอร์ อาร์แอนด์บี ที่มีจังหวะที่เนิบช้าแต่ทุกโน้ตที่บรรเลงในอัลบั้มชุดนี้สั่นสะเทือนไปถึงส่วนลึกในจิตใจ

 

ด้านการแต่งเพลง Post Malone เพิ่งจะได้รับรางวัล Hal David Starlight Award จากงาน Songwriter Hall of Fame ที่มอบให้กับนักแต่งเพลงรุ่นใหม่ที่มีชั้นเชิงในการแต่งเพลงได้อย่างโดดเด่นไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

โดย Post Malone เผยว่า “งานเพลงของผมมีความเป็นส่วนตัวสูงและมันก็เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากที่บทเพลงของผมเชื่อมโยงไปกับเรื่องราวชีวิตของคนอื่นๆ สิ่งที่ดียิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่เพลงของผมได้สร้างกำลังใจและเหมือนเป็นมือที่ยื่นออกไปให้พวกเขายึดจับเอาไว้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่เพลงที่ผมแต่งสามารถเยียวยารักษาบาดแผลทางจิตใจของผู้คนได้”

Post Malone มีเพลงฮิตมากมายอย่าง Congratulations, Wrapped Around Your Finger, Chemical, Psycho, Better Now, Goodbyes, When I’m Alone, I Fall Apart และอีกมาก เขาเคยร่วมงานกับแร็พเปอร์และศิลปินระดับโลกอย่าง Swae Lee, Doja Cat, The Weeknd, Ty Dolla $ign, A$AP Rocky, Lorde, Roddy Ricch, ทราวิส สกอตต์ หรือแม้กระทั่งร็อกไอคอนระดับตำนานอย่างออซซี ออสบอร์น มาแล้ว

นอกจากนี้ ผลงานเพลงทุกชุดของเขาก็ยังขายได้มากกว่า 80 ล้านก๊อบปี้ทั่วโลก, ได้รับรางวัล Billboard Music Awards 10 ครั้ง และได้เข้าชิง Grammy Awards ซึ่งเป็นเวทีมอบรางวัลที่ทรงเกียรติที่สุดของวงการดนตรีโลก 9 ครั้ง

การประสบความสำเร็จในระดับนี้ในวัย 20 ปลายๆ ถือว่าไม่ธรรมดาเลย

 

ทาง Republic Records เพิ่งปล่อย Overdrive ซิงเกิลใหม่ล่าสุดของ Post Malone จาก Austin อัลบั้มชุดใหม่ซึ่งจะวางจำหน่ายในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ออกมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

เพลงนี้เป็นเพลงแนวบัลลาด/อเมริกันร็อกยุค 90 ที่มีเมโลดี้ที่ไพเราะติดหูมากๆ โดยเฉพาะท่อนที่มีเสียงผิวปาก

ในส่วนของการแสดงคอนเสิร์ตเป็นที่รู้กันดีว่า Post Malone รักแฟนเพลงมากและมักจะลงจากเวทีไปหาแฟนๆ ด้านหน้าเวทีอยู่เสมอ

ศิลปินหนุ่มคนนี้เคยบอกกับแฟนเพลงบนเวทีคอนเสิร์ตว่า “ผมอยากให้พวกคุณกอดใครก็ตามที่คุณมองเห็นว่าพวกเขาต้องการมันมากๆ และขอให้ส่งต่อความรักนี้ไปเรื่อยๆ”

Post Malone จะเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยเป็นครั้งแรกกับ If Y’all Weren’t Here, I’d Be Crying Tour in Bangkok โดยโชว์จะจัดขึ้นที่อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-2, เมืองทองธานี ในวันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายนที่จะถึงนี้

โชว์ของ Post Malone ได้รับเสียงชื่นชมถึงความสนุก, ความฮา, ความรักและความอบอุ่นที่ส่งผ่านงานเพลงฮิปฮอปร่วมสมัยโดยศิลปินหนุ่มแห่งยุคสมัยที่เก่งและเป็นที่รักของแฟนเพลงทั่วโลกมากที่สุดคนหนึ่ง

เป็นอีกหนึ่งโชว์ที่น่าดูมากในปีนี้ และถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้พลาดชมจริงๆ