จับสัญญาณ ‘บิ๊กตู่’ วางมือ ปรับเกม-ส่งไม้ต่อ ‘บิ๊กป้อม’ สู่ฝันชิง ‘นายกฯ’

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นการทั่วไป เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ประเดิมสนามลงชิงชัยสู้ศึกการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ด้วยการชู “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มาเป็นจุดขาย ดึงเรตติ้งให้กับพรรค รวมทั้งยังวางตัวให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เบอร์ 1 เพื่อหวังดันให้ “บิ๊กตู่” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี สานต่อภารกิจเพื่อชาติต่ออีกหนึ่งสมัย

แม้ว่า “รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)” จะเป็นเพียงพรรคน้องใหม่ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น แต่การนำบุคคลที่มีดีเอ็นเอและอุดมการณ์เดียวกันอย่างชัดเจนว่ามีความรักและยึดมั่นสถาบันหลักของชาติ มาเป็นจุดแข็ง จึงส่งผลให้สามารถเอาชนะใจพี่น้องประชาชน กวาดคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์มาได้ถึง 4,766,408 คะแนน คว้าเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 13 คน ขณะที่ ส.ส.แบบแบ่งเขต ได้ไป 23 ที่นั่ง รวมมี ส.ส.เข้าไปนั่งในสภา 36 คน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นพรรคแกนนำตั้งจัดรัฐบาลได้

เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาแบบนี้ แน่นอนว่าหลายฝ่ายต่างพุ่งประเด็นมาจับจ้องบทบาทของ “บิ๊กตู่” ว่าเส้นทางอนาคตทางการเมืองนับจากนี้จะเป็นอย่างไร

“บิ๊กตู่” จะเลือกเดินหน้าหรือตัดสินใจหันหลังและเลือกวางมือทางการเมือง?

 

ท่าทีตลอด 2 เดือนภายหลังการเลือกตั้ง “บิ๊กตู่” โชว์สปิริตยอมรับผลคะแนนด้วยการพยายามสงวนท่าที งดออกความเห็นทางการเมืองโดยเฉพาะประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลและทิศทางการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เปิดโอกาสและให้เกียรติ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลเดินหน้ารวมเสียงและตั้งรัฐบาลอย่างเต็มที่

ทว่า เกมการเมืองพุ่งเป้ากลับมาที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อีกครั้ง ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก

เมื่อนายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอชื่อนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ท้าชนชิงเก้าอี้รองประธานสภาคนที่ 1 กับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล

แม้สุดท้ายจะพ่ายคะแนนไป แต่การเสนอชื่อเข้าแข่งขันครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการเช็กขุมพลัง หยั่งคะแนนเสียงความเข้มแข็งของฝ่ายตนเองและฝ่ายตรงข้ามว่าจะมีคะแนนเท่าไร ไม่ได้หวังผลเอาชนะ แต่ก็เพื่อให้รู้ทิศทางเท่านั้น

แต่ทว่า การเสนอชื่อแข่งขันเก้าอี้รองประธานสภาคนที่ 1 ครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตว่าวันโหวตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคลงชิงเก้าอี้นายกฯ หรือไม่

เมื่อเกิดกระแสข่าวขึ้น แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ต่างออกมาประสานเสียงยืนกรานตรงกันว่า การส่งนายวิทยา แก้วภราดัย สู้กับก้าวไกลในการโหวตรองประธานสภานั้น จะไม่นำมาสู่การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือแม้กระทั่งเสนอชื่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคลงชิงนายกรัฐมนตรีแน่นอน

 

อีกทั้งเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ เพจพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) สร้างความเซอร์ไพรส์ด้วยการเผยแพร่ข้อความการประกาศวางมือทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีเนื้อหาใจความสำคัญ ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ สัมผัสได้ถึงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมั่น เป็นประสบการณ์ที่จะไม่มีวันลืม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเก้าปีเศษ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชน

“ผมขอประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และสมาชิกพรรคได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้องรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไปด้วย”

ทั้งนี้ หลังจากเพจพรรค รทสช.ได้เผยแพร่ข้อความของ พล.อ.ประยุทธ์ดังกล่าว บรรดาผู้บริหารและสมาชิกพรรคจำนวนมากได้พร้อมใจกันโพสต์ขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ที่เสียสละทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมาตลอดระยะเวลา 9 ปี

 

ขณะที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. ก็ออกมาตอกย้ำเหตุผลการประกาศวางมือทางการเมืองอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความประสงค์จะแสวงหาอำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์อะไรส่วนตัว เพียงอยากขอโอกาสสานงานต่อในสิ่งที่มุ่งหวังตั้งใจ

เมื่อไม่มีโอกาสจึงเห็นว่าเมื่อถูกนำโยงเป็นประเด็นให้พรรคถูกวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เกรงใจคนอื่นอยู่เสมอ อาจจะทำให้พรรคมีปัญหาได้ อีกทั้งมีการเชื่อมโยงว่าพยายามตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ดังนั้น เพื่อยุติปัญหาทั้งหมด จึงเห็นว่าการวางมือทางการเมืองเป็นหนทางที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะประกาศวางมือทางการเมืองไปแล้ว แกนนำพรรคต่างออกมาให้คำมั่นกับพี่น้องประชาชนว่าการเดินหน้าของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ยังคงดำเนินต่อไป ตามที่ได้ประกาศไว้ แม้จะไม่มีหัวหอกคนสำคัญทำหน้าที่เป็นแกนหลักให้พรรคแล้วก็ตาม

โดยพร้อมทำหน้าที่ในสภา และระดมพลนักการเมืองทั้งคนรุ่นใหม่ รุ่นใหญ่ มาร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจทางการเมืองนอกสภาด้วย โดยจะทำงานตามอุดมการณ์ทั้งหมดที่เคยประกาศไว้กับพี่น้องประชาชน

 

การวางมือของ “บิ๊กตู่” จะเป็นปัจจัยทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ต้องไปร่วมกับพรรคการเมืองอื่นเพื่อผลักดันคนอื่นเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น เรื่องนี้สุดท้ายคงต้องขึ้นอยู่กับมติพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่าจะตัดสินใจและกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนพรรคอย่างไรต่อไป

การประกาศวางมือทางการเมืองในช่วงที่สถานการณ์ทางการเมืองกำลังเข้มข้น ย่อมถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณใดหรือไม่ และเมื่อบุคคลที่ ส.ส.ของพรรคพร้อมสนับสนุนนั่งเก้าอี้นายกฯ ประกาศถอนตัวออกจากสนามการเมืองแล้ว “บุคคลใด” คือคนทุกพรรคจะยกมือโหวตสนับสนุน

แน่นอนว่า ทุกอย่างจึงเบนเข็มไปยังพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งเคยเป็นพรรคต้นสังกัดเดิมของ ส.ส.และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หลายคนว่าอยากหนุนให้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ด้วยเหตุผลที่ว่าการแยกออกมาเป็น 2 พรรคระหว่างพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ใช่เพราะทะเลาะหรือแตกคอกันแต่อย่างใด

ฉะนั้น การเมืองหลังจากนี้จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า การถอยของ “บิ๊กตู่” จะเป็นการส่งไม้ต่อให้ “ลุงป้อม” เข้าชิงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในขั้ว 188 เสียง ของพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน หรือไม่