สกัดพิธา คือการจุดชนวน ความขัดแย้งใหญ่ของประเทศ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ในที่สุดคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ประกาศวางมือทางการเมืองพร้อมกับทิ้งพรรครวมไทยสร้างชาติไปแบบไม่ไยดี

แต่นอกเหนือจากคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ที่บอกว่าใจหายที่คุณประยุทธ์จากไป ผู้นำพรรคการเมืองและคนกลุ่มอื่นๆ แทบไม่มีใครแสดงความเสียใจที่คุณประยุทธ์หยุดบทบาทไปแบบนี้แม้แต่คนเดียว

เมื่อคำนึงว่าคุณประยุทธ์ยึดประเทศ 9 ปีด้วยเครือข่ายอำนาจนอกระบบที่ใช้วิธีการแบบเนติบริการ, ใช้กองทัพแทรกแซงการเมือง, โหนสถาบัน, แจกเงิน, ทำนิติสงคราม ฯลฯ อวสานของคุณประยุทธ์ก็คือหลักฐานว่าอำนาจนอกระบบอ่อนแอจนไม่สามารถค้ำยันคุณประยุทธ์ได้ต่อไป

แม้อำนาจนอกระบบในช่วงหลังปี 2562 จะดึงนักการเมืองแนวบ้านใหญ่และผู้มีอิทธิพลมาเป็นพันธมิตรในรูปพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ แต่ความพ่ายแพ้ของทั้งสองพรรคอย่างย่อยยับในการเลือกตั้งปี 2566 ก็สะท้อนว่าอำนาจนี้เสื่อมถอยจนผลักดันคุณประยุทธ์ให้เป็นนายกฯ ต่อไม่ได้เลย

นักการเมืองบ้านใหญ่คือนักการเมืองที่คนเชื่อว่าชนะเลือกตั้งทุกครั้ง ต่อให้จะทำงานห่วย, ไม่เคยอภิปรายในสภา และไม่มีผลงานเลย แต่ผลเลือกตั้งปี 2566 จบด้วยความพ่ายแพ้ของนักการเมืองบ้านใหญ่จำนวนมากที่อยู่ข้างคุณประยุทธ์ในพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติอย่างไม่มีชิ้นดี

อาจมีผู้โต้แย้งว่าอำนาจนอกระบบ หรือ “เครือข่าย” ที่อยู่เบื้องหลังคุณประยุทธ์ไม่ได้อ่อนแอลง แต่คุณประยุทธ์เองต่างหากที่เสื่อมสภาพจนใครก็โอบอุ้มต่อไม่ไหว แต่สภาพที่คุณประยุทธ์วางมือทางการเมืองโดยยังไม่มีใครรับช่วงแทนก็สะท้อนว่าตัว “เครือข่าย” ทั้งหมดไปไม่ไหวแล้วจริงๆ

เมื่อนึกถึงการเลือกประธานสภาที่ฝ่าย “เครือข่ายประยุทธ์” ไม่มีปัญญาส่งใครชิงตำแหน่งกับฝ่ายก้าวไกล การไม่มีบุคคลชิงตำแหน่งนายกฯ กับพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และไม่มีหัวหน้าพรรคไหนรับช่วงสืบทอดอำนาจแทนคุณประยุทธ์ก็ยิ่งตอกย้ำว่า “เครือข่าย” นี้ไปต่อไม่ได้แล้วอย่างแทบจะสมบูรณ์

 

ถ้าเทียบกับวันแรกที่คุณประยุทธ์ยึดอำนาจแล้วปกครองประเทศด้วยกฎอัยการศึกราวกับเทวดา จุดจบของคุณประยุทธ์สะท้อนว่าคุณประยุทธ์มีสภาพไม่ต่างจากหนี้เน่าที่ทำอะไรไม่ได้ มีไว้ก็เป็นภาระ เช่นเดียวกับทหารและนักการเมืองคนอื่นในเครือข่ายเดียวกันที่ไม่มีใครสืบทอดอำนาจต่อได้เลย

นักการเมืองฝ่ายคุณประยุทธ์บางคน “อวย” ว่าคุณประยุทธ์เป็นตัวอย่างของผู้นำที่รู้จักพอ ปัญหาคือคนที่รู้จักพอไม่มีวันทำทุกทางให้ตัวเองยึดอำนาจนานที่สุดแบบนี้ และที่สำคัญที่สุดคือคนที่รู้จักพอนั้นต่างจากคนที่จนตรอกเพราะพ่ายแพ้ย่อยยับจนต้องโยนผ้าขาวอำลาเวทีก่อนพังยับเยิน

ล่าสุด แม้กระทั่งในวันที่คุณประยุทธ์ประกาศวางมือทางการเมืองไปแล้ว ศูนย์อะไรสักอย่างที่ตั้งขึ้นเพื่ออวยคุณประยุทธ์ก็ยังบอกว่าคุณประยุทธ์คือ “วีรบุรุษ” ต่อให้ผลงานของคุณประยุทธ์และวิธีที่คุณประยุทธ์ใช้เพื่อรักษาอำนาจจะไม่มีอะไรเข้าใกล้ความเป็นวีรบุรุษหรือวิญญูชนได้เลย

ผลเลือกตั้งปี 2566 เป็นหลักฐานของความหายนะทางการเมืองของคุณประยุทธ์, เครือข่ายเบื้องหลังคุณประยุทธ์ และนักการเมืองที่เป็นพันธมิตรกับคุณประยุทธ์ เพราะไม่มีใครได้อำนาจทางการเมืองตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งที่ลงเลือกตั้งด้วยการเอาเปรียบคู่แข่งด้วยวิธีต่างๆ อย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย

เพื่อไม่ให้อวสานของคุณประยุทธ์เป็นปัญหาของตัวบุคคล ควรระบุด้วยว่าคุณประยุทธ์, เครือข่ายเบื้องหลัง และนักการเมืองที่เป็นพันธมิตรคือ “ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย” ที่พยายามยึดครองประเทศให้ชนชั้นนำยึดอำนาจรัฐได้มากที่สุดและประชาชนมีส่วนแบ่งในอำนาจต่ำที่สุดตลอดกาล

 

การเลือกตั้งปี 2566 คือการเลือกตั้งที่ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยทำทุกทางเพื่อยึดประเทศแบบที่เคยทำในปี 2557 และ 2562 ถึงขั้นตีความให้คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ 8 ปี แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับพินาศขั้นหายนะเพราะปรากฏการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างชัยชนะของพรรคก้าวไกล

ตรงข้ามกับคู่แข่งของพรรคก้าวไกลที่โจมตีว่าก้าวไกลได้ ส.ส. 151 น้อยกว่าไทยรักไทยและเพื่อไทยในการเลือกตั้ง 2554

แต่ก้าวไกลได้ที่ 1 ในปีที่บริบทต่างกับไทยรักไทยและเพื่อไทยสมัยคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มหาศาล ไม่ต้องพูดว่าเพื่อไทยในปี 2562 ได้ ส.ส. 136 น้อยกว่าก้าวไกลในปี 2566 ด้วยซ้ำไป

ไม่ว่าจะมองมุมไหน พรรคก้าวไกลคือพรรคที่ประชาชนให้การสนับสนุนอย่างกว้างขวางจนทำให้อำนาจนอกระบบเป็นสิ่งปฏิกูลทางประวัติศาสตร์ขั้นไม่สามารถคุ้มครองคุณประยุทธ์, เครือข่ายคุณประยุทธ์ และนักการเมืองที่เป็นพันธมิตรให้ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งได้อย่างที่คิดกัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากองทัพและกลุ่มทุนใหญ่ หรือ “ทุนผูกขาด” คือหนึ่งในเสาหลักของเครือข่ายที่หนุนคุณประยุทธ์จนได้ประโยชน์มหาศาลจากนโยบายรัฐเผด็จการ และเมื่อคำนึงว่าก้าวไกลมีนโยบายสู้ทุนผูกขาดสุรา, พลังงาน และโทรคมนาคม คนกลุ่มนี้ย่อมไม่มีทางให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาลแน่นอน

ที่มั่นสุดท้ายของฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยคือองค์กรอิสระและ ส.ว. ยุทธวิธีสุดท้ายที่ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยใช้ในการครอบครองประเทศจึงได้แก่การใช้องค์กรอิสระและ ส.ว.ในการสกัดไม่ให้ก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลตามที่ประชาชนเลือก รวมทั้งไม่ให้พิธาเป็นนายกฯ อย่างที่ประชาชนต้องการ

 

หนึ่งวันก่อนวันโหวตเลือกนายกฯ คือวันซึ่ง “พลังฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตย” ทำทุกอย่างให้ประเทศเป็นของตัวเองต่อไป

กกต.ประชุมสามวันเพื่อวินิจฉัยคำร้องหุ้นไอทีวีของนักร้องหิวแสงว่ามีมูล ทั้งที่คนกลุ่มนี้ใช้เอกสารเท็จเยอะไปหมด จากนั้นก็เร่งส่งศาลรัฐธรรมนูญให้พิธาพ้นสภาพ ส.ส.ทันที

แน่นอนว่ารัฐธรรมนูญ 2560 แบ่งแยก “ความเป็น ส.ส.” กับ “ความเป็นแคนดิเดตนายกฯ” ออกจากกัน คำร้องไอทีวีที่ กกต.เร่งส่งศาลพิจารณาพิธาพ้นสภาพ ส.ส.จึงไม่มีผลให้พิธาสูญเสียความเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่จะเป็นเครื่องมือให้ ส.ว.ปั่นกระแสในและนอกสภาว่าพิธาไม่ควรเป็นนายกฯ ต่อไป

มีข้อถกเถียงกันว่า ส.ว.จะโหวตพิธาเป็นนายกฯ ตามเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรกี่คน พรรคก้าวไกลยืนยันว่ามี ส.ว.โหวตพิธาจนรวมเสียง ส.ส.ครบ 376 ถึงขั้น ส.ส.วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ระบุว่า ส.ว.ที่โหวตพิธามีไม่ต่ำกว่า 80 ด้วยซ้ำ การดันเรื่องนี้เข้าศาลจึงเปิดทางให้ ส.ว.อีกกลุ่มกดดัน ส.ว.กลุ่มนี้ได้โดยตรง

แม้กระบวนการศาลรัฐธรรมนูญทำให้ยากที่จะพิจารณาเรื่องพิธาก่อนวันโหวตนายกฯ ตามที่กลุ่มต้านประชาธิปไตยต้องการ แต่ศาลก็อาจพิจารณาเรื่องนี้ในสัปดาห์ถัดไปคือวันที่ 19 กรกฎาคม ซึ่งจะกลายเป็นข้ออ้างให้ ส.ว.กลุ่มต้านประชาธิปไตยเสนอเลื่อนโหวตนายกฯ ออกไปอีก หรือไม่ให้โหวตพิธาเลย

ถ้า ส.ว.กลุ่มที่พร้อมโหวตพิธาตามหลักเสียงข้างมากมีน้อย กลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยคงไม่ต้องใช้ กกต.และศาลเป็นเครื่องมือสกัดพิธาแบบนี้ และทันทีที่กลุ่มต้านประชาธิปไตยใช้วิธีการนี้ก็เท่ากับว่าพลังของฝ่ายต้านประชาธิปไตยอ่อนแอถึงจุดที่แม้แต่การคุม ส.ว.ให้เป็นเอกภาพก็ทำไม่ได้ต่อไป

 

ไม่มีใครรู้ว่าคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะสอดคล้องกับความต้องการของฝ่ายต้านประชาธิปไตยหรือไม่

แต่กระบวนการนี้สะท้อนความถดถอยของเครือข่ายคุณประยุทธ์จนต้องงัดอาวุธเก่าคือ “นิติสงคราม” มาสกัดเสียงประชาชนอย่างที่เคยทำมาตลอดเกือบ 20 ปีจนทำให้คนตาสว่างทั้งแผ่นดิน

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สถานการณ์ใหม่ที่ความขัดแย้งระลอกใหม่กำลังก่อตัวขึ้นโดยตัวละครเก่าๆ

ขณะที่พลังใหม่ที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม มีมหาศาลจนยากที่ความขัดแย้งครั้งนี้จะมีจุดจบแบบเดิม