ส่งออกส่อแววอ่อนแรง ลุ้น รบ.ใหม่โชว์ฝีมือกู้ชีพ ปั้มหัวใจดัน ศก.ไทย ปี ’66 ฟื้น

บทความเศรษฐกิจ

 

ส่งออกส่อแววอ่อนแรง

ลุ้น รบ.ใหม่โชว์ฝีมือกู้ชีพ

ปั้มหัวใจดัน ศก.ไทย ปี ’66 ฟื้น

 

อีกไม่กี่วันเราก็จะได้เห็นโฉมหน้านายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทยแล้ว หลังจากที่เลือกตั้งแล้วเสร็จไปตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 จนถึงปัจจุบันประชาชนรวมถึงภาคเอกชน ยังลุ้นอยู่ว่าหน้าตาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่จะออกมาเป็นแบบไหน จะตรงใจหรือไม่

แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าใครจะได้เป็นทีมรัฐบาล ก็ต้องเร่งแก้ไขปัญหาที่กองพะเนิน รอให้เข้ามาแสดงฝีมืออย่างเร่งด่วน

โดยเฉพาะในเรื่องของภาคการส่งออก ที่เคยเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (จีดีพี) ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19

แต่ในปัจจุบันภาคการส่งออกส่ออาการอ่อนแรง จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ที่ระบุว่า ภาพรวมการส่งออกช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม-พฤษภาคม) ของปี 2566 มีมูลค่า 116,344.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 5.1%

สินค้าเกษตรหดตัวอยู่ที่ 2.1% มีมูลค่า 11,308.8 ล้านเหรียญสหรัฐ การนำเข้ามีมูลค่า 122,709.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 2.5% เป็นมาจากสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม ติดลบ 0.4% มีมูลค่า 9,791.3 ล้านเหรียญสหรัฐ และสินค้าอุตสาหกรรม ติดลบ 5.4% มูลค่า 90,872.7 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่งผลให้ 5 เดือนแรก ไทยขาดดุลการค้า 6,356.3 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

จากข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับประมาณการตัวเลขการส่งออก ทั้งปี 2566 ลดลงมาอยู่ที่ติดลบ 2 ถึง 0% จากเดิมอยู่ที่ ติดลบ 1 ถึง 0%

เนื่องจากภาคการส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก ซึ่งภาครัฐควรเร่งสนับสนุนการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ หรือประเทศที่ยังขยายตัวได้ อาทิ จีน อินเดีย และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพื่อทดแทนการส่งออกในประเทศหลัก โดยเฉพาะสหรัฐ และสหภาพยุโรป ที่อ่อนแอลง

ส่วนหลังจากนี้จะมีการปรับประมาณการเป้าส่งออก ปี 2566 ใหม่ หรือไม่นั้น การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังของไทยจะต้องมีมูลค่าเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 24,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน จึงจะสามารถปรับประมาณการใหม่ได้ต่อไป

 

ขณะที่ เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยว่า ปัจจุบันเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว เอกชนหวังว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นไปตามไทม์ไลน์เดิม หรือเร็วกว่านั้น หากเรียบร้อยภายในเดือนกรกฎาคม 2566 ยิ่งดีมาก เพราะเวลานี้เศรษฐกิจกำลังแย่จากสถานการณ์การส่งออกที่ติดลบ จนส่งผลให้ผู้ผลิตที่เน้นส่งออกได้รับผลกระทบผลิตสินค้าออกมาแต่ขายได้น้อยลง หรือบางรายขายไม่ได้ แต่ยังจำเป็นต้องผลิตต่อเพื่อรักษาการจ้างงานจนบางรายเริ่มลดการจ้างงานล่วงเวลา (โอที) ลง และคาดหวังว่าในช่วงไตรมาสที่ 4/2566 คำสั่งซื้อจะกลับมาดีขึ้น แต่ยอมรับว่าภาพรวมส่งออกยังคงได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง

โดยจากการสำรวจสถานการณ์การผลิตล่าสุดพบว่า มีถึง 23 อุตสาหกรรมที่เผชิญสถานการณ์ดังกล่าว อาทิ เฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้าง เหล็ก สิ่งทอ แต่ยังไม่ถึงกับเลิกจ้าง แต่หากส่งออกยังแย่และปลายปีไม่ฟื้น อาจเห็นการเลิกจ้างเกิดขึ้น ตามสายป่านของแต่ละอุตสาหกรรมที่แข็งแรงไม่เหมือนกัน

ดังนั้น เอกชนจึงคาดหวังให้ตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อให้รัฐบาลใหม่เข้ามาผลักดันภาคการส่งออก โดยเข้ามาขับเคลื่อนการขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ และเร่งเดินหน้าทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ สิ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งเห็นผลที่ต้องการให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว

อีกกรณี จากปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยสูงถึง 90.6% บวกกับค่าครองชีพที่สูงของคนไทย ทั้งค่าไฟ ดอกเบี้ย ยังเป็นแรงกดดันให้กำลังซื้อชะลอตัว จึงเฝ้ารอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต ซึ่งมาตรการรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศน่าเห็นผลเร็ว เพราะปัจจัยต่างๆ ควบคุมได้ ต่างกับการแก้ปัญหาส่งออก เพราะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยนอกประเทศ

ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นยังส่งผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติในการเข้ามาเที่ยวประเทศไทยด้วย

 

อย่างไรก็ดี ในมุมมองของ ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) ระบุว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาคการส่งออกชะลอตัว เกิดจากกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าลดลง ดังนั้น การที่จะทำให้กำลังการผลิตกลับมาเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ต้องรอให้สถานการณ์การส่งออกคลี่คลาย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร ที่เกี่ยวข้องกับเกษตรแปรรูป และภาคปศุสัตว์ ซึ่งพึ่งพิงอุตสาหกรรมนำเข้า อาทิ กล่อง ฉลาก แพ็กเกจจิ้ง ซึ่งเมื่อธุรกิจเหล่านี้ได้รับผลกระทบ สินค้าที่เกี่ยวข้องก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

ทั้งนี้ เมื่อธุรกิจได้รับผลกระทบ ยอดคำสั่งซื้อลดลง ก็กระทบชิ่งมาถึงแรงงาน ที่ปัจจุบันการจ้างงานแบบล่วงเวลา หรือการทำโอที ในภาพรวมลดลงเกือบทั้งหมด ซึ่งในมุมของบริษัทผม ก็ได้รับผลกระทบเรื่องยอดขายเช่นกัน ถือว่าเป็นเป็นผลกระทบครั้งแรกในรอบ 10 ปี เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นผู้ประกอบการนำเข้า และส่งออกสินค้า ซึ่งถือว่าสถานการณ์เลวร้าวกว่าช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนกำลังการผลิตกลับมาอยู่ที่ประมาณ 60-62% แต่อย่างน้อยควรกลับมาอยู่ที่ 85% จาก 100% ในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19

นอกจากเรื่องการส่งออกที่น่าเป็นห่วงแล้ว นโยบายการปรับขึ้นค่าแรง ของพรรคการเมือง ที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาลชุดใหม่ในอนาคตนั้น ยังคงเป็นความกังวลของผู้ประกอการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) อยู่ จึงมองว่าการนำมาพูดถึงในช่วงนี้อาจยังไม่เหมาะสมต้องดูสภาพคล่องของธุรกิจ ภาวะเศรษฐกิจในตอนนี้หลายธุรกิจเสี่ยงจะเจ๊งไม่เจ๊งแหล่ ดูได้จากจำนวนผู้ว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2566 ที่สูงขึ้นในรอบ 6 เดือน หรือประมาณ 1.3% ซึ่งสาเหตุหลักจากการว่างเงินเกิดจากสภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ที่ปัจจุบันมีสต๊อกเหลือค้างจำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน

เรียกได้ว่ายังไม่ทันเข้ามารับตำแหน่ง งานก็เข้าแบบรัวๆ เสียแล้ว แต่รัฐบาลชุดใหม่ จะเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ทันการณ์

หรือเศรษกิจไทยจะสิ้นลมก่อน คงต้องจับตาดูกันต่อไป!