‘ซิตี้ใหม่’ ปะทะ ‘BYD ดอลฟิน’ | ขุมพลังเทอร์โบ/ไฮบริด VS ไฟฟ้า

สันติ จิรพรพนิต

‘ซิตี้ใหม่’ ปะทะ ‘BYD ดอลฟิน’ | ขุมพลังเทอร์โบ/ไฮบริด VS ไฟฟ้า

 

การเปิดตัวเก๋งเล็กยอดนิยม “ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่” รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ภายในงาน “ฟาสต์ ออโต โชว์ ไทยแลนด์ แอนด์ อีวี เอ็กซ์โป 2023” เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญว่า ใกล้กับการเปิดราคาของรถยนต์อีวี “BYD ดอลฟิน” อย่างเหมาะเหม็ง

เพราะห่างกันแค่วันเดียวเท่านั้น

โดยทั้งคู่แม้จะมีขุมพลังแตกต่างกัน ฝั่งซิตี้นั้นเป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ และฟูลไฮบริด e:HEV

ส่วน “BYD ดอลฟิน” ใช้แบตเตอรี่ขับเคลื่อน 100%

แต่หากดูเซ็กเมนต์แล้วถือว่าปะทะกันโดยตรง แถมราคาใกล้เคียงกันมาก

เรียกว่าเป็น 2 ตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย

เริ่มกันที่ขวัญใจวัยรุ่นชาวไทยมายาวนาน

“ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่” รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ยังใช้เครื่องยนต์เดิม 2 แบบทั้งระบบฟูลไฮบริด e:HEV และ VTEC TURBO

โดยฟูลไฮบริด e:HEV ผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว

ระบบเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน

แรงบิดมอเตอร์สูงสุดที่ 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,000 รอบต่อนาที ประหยัดน้ำมันถึง 27.8 กิโลเมตร/ลิตร รองรับพลังงานทางเลือก E20

ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน DOHC VTEC TURBO 1.0 ลิตร 3 สูบ 12 วาล์ว กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) ประหยัดน้ำมัน 23.8 กิโลเมตร/ลิตร รองรับพลังงานทางเลือก E20

ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING)

ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์ คนเดินถนน จักรยาน และจักรยานยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 6 ฟังก์ชั่นการทำงานหลักๆ

ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ

และที่เพิ่มเข้ามาสำหรับรุ่นใหม่ คือระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System : LCDN)

ภาพลักษณ์ภายนอกปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะของเดิมออกแบบได้สวยอยู่แล้ว

กระจังหน้าโครเมียม ไฟหน้าแบบโปรเจ็กเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ

มือจับประตูด้านนอกโครเมียม กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัว ฝาครอบกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ

เสาอากาศแบบครีบฉลามสีเดียวกับตัวรถ ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว (รุ่น V) แบบทูโทน (รุ่น SV) และแบบทูโทนขนาด 16 นิ้ว (รุ่น e:HEV SV)

ส่วนรุ่น RS และรุ่น e:HEV RS กระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่กันชนหน้า กันชนหลัง สเกิร์ตข้าง ดีไซน์ใหม่ เสริมความสปอร์ตแบบ RS สปอยเลอร์หลังดีไซน์สปอร์ต

ไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED

มือจับประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ ฝาครอบกระจกมองข้างสีดำเงา ระบบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ

เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำเงา ล้ออัลลอยแบบทูโทนสไตล์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว

ห้องโดยส่ารยังเป้นจุดเด่นเน้นความกว้างขวาง ตกแต่งคอนโซลหน้าสีเงิน หรือสีดำ Piano Black แล้วแต่รุ่นย่อย

ขณะที่รุ่น RS และรุ่น e:HEV RS วัสดุตกแต่งคอนโซลหน้าสีแดงเมทัลลิก วัสดุหุ้มเบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์สีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง

พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ปรับระดับ 4 ทิศทาง ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) มีระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย

มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว

ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย ลำโพง 8 ตำแหน่ง

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง (รุ่น e:HEV SV และ e:HEV RS)

ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ด้านหลังแบบ Type-C 2 ตำแหน่ง

มีระบบเบรกมือไฟฟ้า และระบบ Auto Brake Hold

ระบบสตาร์ตเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมต

ระบบความปลอดภัยอื่นๆ ยังมาครบ อาทิ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน ฯลฯ

ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ e:HEV มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย

e:HEV SV ราคา 769,000 บาท

e:HEV RS ราคา 839,000 บาท

ส่วนเครื่องยนต์เทอร์โบ มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย

V ราคา 629,000 บาท

SV ราคา 679,000 บาท

RS ราคา 749,000 บาท

ส่วน “BYD ดอลฟิน” รูปทรงเก๋ง 5 ประตู ด้านนอกเน้นความเรียบง่าย กระจังขนาดเล็กสีดำพร้อมสัญลักษณ์ BYD

ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบFollow Me Home และปรับไฟสูงอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างกลางวันแบบ LED

ไฟท้ายแบบ LED ลากยาวแนวขวางสะดุดตามากขึ้น

มือจับเปิดประตูทรงครีบโลมา

กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าพร้อมระบบทำความร้อน ป้องกันเป็นฝ้า มีที่ปัดน้ำฝนด้านหลังให้ด้วย

เสาอากาศครีบฉลาม ล้ออัลลอยทูโทนขนาด 16 นิ้ว

ภายในเน้นสีทูโทน พวงมาลัย 3 ก้านแบบไฟฟ้าพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น เรือนไมล์ขนาดเล็กแบบดิจิทัลขนาด 5 นิ้ว

จอกลาง 12.8 นิ้ว ปรับหมุนอัจฉริยะ ไม่ต่างจากรุ่น ATTO 3 รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ รองรับ Apple CarPlay สั่งการด้วยเสียงเป็นภาษาไทย ลำโพง 6 ตำแหน่ง เบาะนั่งแบบหนังสังเคราะห์ เบาะหลังพับได้แบบ 60:40 มีที่เท้าแขนกลางให้

ขณะที่พื้นราบเรียบเพิ่มความสบายในห้องโดยสารตอนหลัง มีระบบ Keyless Entry และ Keyless Start

มีคีย์การ์ดแบบพกพาแตะบริเวณกระจกมองข้างเพื่อเปิด-ล็อกประตูได้ กระจกค่อนข้างใหญ่ ให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง

มี 2 รุ่นย่อย แตกต่างที่ความจุแบตเตอรี่

รุ่น Standard Range ความจุ 44.9 กิโลวัตต์-ชั่วโมง แรงบิด 180 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งที่ 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 12.3 วินาที เดินทางได้ไกล 410 กิโลเมตร

ส่วนรุ่น Extended Range ความจุ 60.48 กิโลวัตต์-ชั่วโมง กำลังมอเตอร์ 150 กิโลวัตต์ แรงบิด 310 นิวตัน-เมตร อัตราเร่งที่ 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 7 วินาที เดินทางได้ไกล 490 กิโลเมตร

ทั้งสองรุ่นจะมาพร้อมด้วยหัวชาร์จ AC Type 2 ขนาด 7 กิโลวัตต์

พอร์ตชาร์จ DC ขนาด 60 และ 80 กิโลวัตต์

มีระบบเทคโนโลยี Vehicle to Load (VtoL) จ่ายกระแสไฟได้สูงสุด 2000w ถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ได้ด้วย

สนนราคา Standard Range 699,999 บาท

และ Extended Range 859,999 บาท •

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]