บิ๊กป้อมโชว์สตรอง ระหว่างรอ ‘ส้มหล่น’ ลั่นดูแล ‘พปชร.’ ตลอดชีวิต ลุย ‘บิ๊กอ๊อด’ เจอเช็กออฟไซด์

ชัยชนะยกแรกบนกระดานเกมการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยเกิดขึ้นแล้ว ในการช่วงชิงตำแหน่งเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาทั้ง 2 คน

หลังจากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้เสนอชื่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานสภาคนใหม่แบบไร้คู่แข่ง

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีกระแสข่าวลือเกิดขึ้นมากมาย บ้างก็ว่ามี “ซูเปอร์ดีล” ฉบับลับลวงพรางที่มีความพยายามจะผลักดันให้พ่อมดดำ นายสุชาติ ตันเจริญ บ้านใหญ่ริมน้ำ ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์ประธานสภาในครั้งนี้ด้วย

พร้อมสูตรจับขั้วรัฐบาลใหม่ของฝ่ายอนุรักษนิยม สานฝัน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30

แต่ในท้ายที่สุดแล้ว “ดีลลับ” ที่ว่ายังไม่เกิดขึ้น เก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติตกเป็นของฝ่ายประชาธิปไตย

ส่วนรองประธานสภา คนที่ 1 คือ นายดีลลับ ส.ส.แบบแบ่งเขต จ.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ชนะการโหวตแบบลับ เหนือนายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ด้วยคะแนน 312 เสียง ต่อ 105 เสียง

จากผลที่ออกมาชี้ชัดให้เห็นว่านายปดิพัทธ์ได้คะแนนเสียงสนับสนุนแบบ “ไม่แตกแถว” จากพันธมิตรขั้วเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงความมีเอกภาพในการทำงานร่วมกันเพื่อภารกิจฟื้นฟูประชาธิปไตยกลับสู่ประเทศ

ขณะที่รองประธานสภา คนที่ 2 คือ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.แบบแบ่งเขต จ.เชียงราย พรรคเพื่อไทย

 

แต่หนทางในการได้มาซึ่งตำแหน่งนายกฯ ของนายพิธายังไม่มีความแน่นอน เต็มไปด้วยขวากหนาม และยังต้องเผชิญกับขบวนการสกัดกั้นจากขั้วอำนาจเดิม ที่พร้อมเตะตัดขาไม่ให้มีรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล

ไม่ว่าจะเป็นสมการเลือกนายกฯ จากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ทั้ง 250 คน ซึ่งแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมี ส.ว.จำนวนหนึ่งรับปากว่าจะสนับสนุนนายพิธาให้สมหวังกับตำแหน่งนายกฯ

แต่ใครจะไปรู้ว่าถ้าหากถึงวันโหวตเลือกนายกฯ จริงๆ แล้ว เกมจะพลิก หรือว่าจะมีอภินิหารอะไรซ่อนเร้นแอบแฝงหรือไม่

รวมถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่ไปร้องเรียนทั้งเรื่องหุ้นสื่อ คดีมาตรา 151 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการขายที่ดิน อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ราคา 6.5 ล้านบาท

ซึ่งยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะส่งผลกระทบกับ “พิธา-ก้าวไกล” หนักหนาสาหัสถึงเพียงใด เรียกได้ว่าเป็นสารพัดเกมการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนที่ยังคงต้องจับตามองกันยาวๆ

ทั้งนี้ แม้ว่า “พิธา-ก้าวไกล” จะได้เสียงข้างมากเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล 312 เสียง แต่โอกาสที่จะได้นั่งเก้าอี้นายกฯ คนที่ 30 ต้องยอมรับความจริงว่ายัง “ลูกผี-ลูกคน”

 

ถ้าหาก “พิธา-ก้าวไกล” ไปไม่ถึงฝัน ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เราก็อาจจะได้เห็นสูตรพลิกขั้วรัฐบาลใหม่ ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคร่วมรัฐบาลเดิมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

โดยเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ เพื่อเดินหน้ายุทธศาสตร์ก้าวข้ามความขัดแย้ง แก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ก้าวหน้าไป

จริงอยู่ว่าพรรคเพื่อไทยเคยประกาศ “ไม่เอาลุง” แต่คอการเมืองและนักวิชาการหลายฝ่ายมองตรงกันว่า เกมการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ดังคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร”

ท้ายที่สุดแล้วพรรคเพื่อไทยอาจจะถอนตัวจากเอ็มโอยู แล้วรวบรวมเสียง ส.ส.ฝ่ายตรงข้ามมาร่วมรัฐบาล เพื่อให้การเมืองเดินหน้าต่อไปได้

อีกทั้งที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ก็ไม่เคยปฏิเสธกระแสข่าวนั่งเก้าอี้นายกฯ เพียงแค่บอกว่า ต้องให้พรรคที่ชนะอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลก่อน

และเมื่อถูกถามว่าพร้อมเป็นนายกฯ หรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า “โอ๊ย ยังไม่ได้พูดถึงตอนนั้นหรอกครับ รอไปก่อน”

ถือว่ามีนัยสำคัญทางการเมืองที่หวังลุ้นเก้าอี้นายกฯ ส้มหล่นได้ทุกเมื่อ

 

หากดูจากย่างก้าวและท่าทีหลังเดินทางกลับมาจากอังกฤษ ก็จะพบว่า พล.อ.ประวิตรได้โชว์บทบาทความเป็นผู้นำออกมาให้บรรดา ส.ส.พรรคพลังประชารัฐเห็นอย่างแจ่มชัด โดยประกาศว่าจะอยู่กับพลังประชารัฐจนวันตาย ไม่หนี ไม่ทิ้งไปไหนแน่

“ถึงวันนี้พรรคพลังประชารัฐของเราจะต้องเดินไปข้างหน้าตามอุดมการณ์ ตามเจตจำนงของพรรคที่ขออาสาเข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นพรรคการเมืองของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมขอยืนยันว่าจะดูแลพรรคพลังประชารัฐไปตลอดชีวิตของผม เท่าที่ผมมี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวลว่าผมจะลาออกหรือไปที่ไหน อย่างไรก็จะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐตลอดไป” พล.อ.ประวิตรกล่าว

ขณะเดียวกันยังสั่งให้บรรดา ส.ส.ทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อให้พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง และเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป

โดยเฉพาะ ส.ส.ใหม่หรือคนเก่า ไม่ว่าสมัยที่แล้วอยู่พรรคใด แต่วันนี้จะต้องมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว จะต้องทำหน้าที่ทั้งในและนอกสภาอย่างเต็มที่ ทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านก็ตาม

เมื่อประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนพวกเรา เราต้องทำงานอย่างเต็มที่ อยากจะให้ข้อคิดกับ ส.ส.ทุกท่าน เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติว่า การทำหน้าที่ ส.ส.ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และมติข้อบังคับของพรรคอย่างเคร่งครัด

รวมถึงจะต้องมีจริยธรรม โดย ส.ส.พลังประชารัฐจะต้องเป็นเอกภาพ ไม่มีการแบ่งกลุ่มแบ่งก๊วนเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ ก็ตาม

 

ซึ่งนอกจากจะฉายภาพ “ภาวะผู้นำ” ในการเมืองสนามใหญ่แล้ว พล.อ.ประวิตร ผู้มากบารมี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ยังโชว์เพาเวอร์ ‘เด็ดขาด’ ไล่บดขยี้องค์กรลูกหนังไทยด้วย

โดยเปิดฉากปะฉะดะไล่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ออกจากตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เพราะรับไม่ได้กับผลงานอันล้มเหลวกับการพลาดแชมป์ซีเกมส์ ที่ประเทศกัมพูชา

รวมทั้งไม่พอใจที่นักเตะไทยควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จนเกิดเหตุการณ์ตะลุมบอนกันในสนาม ทำให้ภาพลักษณ์วงการฟุตบอลไทยเสียหายไปทั่วโลก พร้อมจี้ให้ พล.ต.อ.สมยศ แสดงความรับผิดชอบ ด้วยการพิจารณาตัวเอง

แต่กระนั้น การโชว์เพาเวอร์ก็ใช่จะราบรื่น

โดยคล้อยหลังเพียง 1 วัน พล.ต.อ.สมยศ ประกาศเตรียมยื่นหนังสือขอลาออก แต่ทิ้งทุ่นโดยระบุเหตุผลว่า “ในฐานะนายกสมาคม ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแแล และจดทะเบียนกับการกีฬาแห่งประเทศไทย พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของ พล.อ.ประวิตร”

จากข้อความดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า พล.อ.ประวิตรจะออฟไซด์เพราะไปขัดกับกฎระเบียบของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เหตุเพราะการเมืองเข้ามาแทรกแซง และอาจทำให้ประเทศไทยถูกฟีฟ่าลงดาบแบน

ซึ่งจะส่งผลต่อการเป็นเจ้าภาพประชุมฟีฟ่าคองเกรสในเดือนพฤษภาคม ปี 2567 และทัพช้างศึก ทีมชาติไทยในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ที่จะเริ่มแข่งขันในเดือนพฤศจิกายนนี้

ซึ่งในเวลาต่อมา พล.ต.อ.สมยศ พลิกเกมกลับลำเปลี่ยนใจ ไม่ลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคม โดยอ้างว่าเพราะไม่อยากทำร้ายฟุตบอลไทย และพร้อมปฏิบัติหน้าที่ไปจนครบวาระในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

แล้วยังสวนกลับ พล.อ.ประวิตร ที่พูดจาไม่ให้เกียรติกัน เหตุลากมาด่ากลางที่ประชุมบ้านอัมพวัน ซึ่งตนก็มียศ มีตำแหน่ง ไม่ควรถูกปฏิบัติเยี่ยงนี้

“คนที่บอกว่าไม่แทรกแซงคือพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี แถมยังโทษรัฐบาลที่ไม่เคยให้การสนับสนุนอย่างจริงจังด้วย”

“ดูอย่างเวียดนาม ปีหน้าเขาเตรียมใช้งบฯ ก้อนเดียวกันสร้างศูนย์ฝึกอีก 3 แห่ง แล้วทำไมเขาทำได้ เพราะรัฐบาลเขาสนับสนุนไง แต่รัฐบาลเราไม่เคยให้การสนับสนุนจริงจัง ของเรามีแต่ถ้าบอลได้ถ้วยก็ต้องเกณฑ์นักบอลไปเยี่ยมไปคารวะ แสดงความยินดี จะให้ค่าน้ำมันนักบอลคนละ 1-2 พันบาทยังไม่เคยมีเลย” พล.ต.อ.สมยศกล่าว

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรยืนยันหนักแน่นว่า ไม่ได้แทรกแซง เพราะพูดในฐานะประธานโอลิมปิคฯ ไม่ได้พูดในฐานะรองนายกฯ หรือคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่เกี่ยวกัน

เพียงแค่ให้พิจารณาตัวเอง จากผลที่ไปทะเลาะกันในระหว่างการเล่นฟุตบอล ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ดีออกมา

ปิดฉากปมร้อนฉบับการเมืองในวงการฟุตบอลไทย ระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับ พล.ต.อ.สมยศ โดยมีองค์กรลูกหนังโลกอย่างฟีฟ่าเป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำลุงป้อมสะดุดอย่างไม่คาดคิด!