ฉัตรสุมาลย์ : เส้นทางสายไหม ความฝันที่เป็นจริง

ปีแรกที่ผู้เขียนไปเรียนปริญญาโทต่อที่แคนาดานั้น เนื่องจากเปลี่ยนสาขาจากปรัชญามาเป็นศาสนา เลยต้องเรียนปริญญาตรีปีสี่ ซ้ำที่มหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์

โปรเฟสเซอร์รานหยุนชาน ซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนของผู้เขียนสมัยที่อยู่อินเดีย ท่านโอนสัญชาติมาเป็นชาวแคนาดา เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยนี้

คราวหนึ่งท่านซื้อหนังสือเรื่อง ศาสนาพุทธในประเทศจีน เล่มใหญ่ ท่านซื้อมาคู่กัน แล้วแบ่งให้ผู้เขียนเล่มหนึ่ง ราคาต่อเล่มก็จะถูกลงกว่าที่จะซื้อเล่มเดียว

หนังสือเล่มนี้ให้ความรู้ในเรื่องพุทธศาสนาในประเทศจีนที่ดีมาก ผู้เขียนชื่นชมพระถังซำจั๋งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตั้งแต่ความรู้สำนึกในบุญคุณที่ท่านได้ให้แก่การศึกษาประวัติศาสตร์ในอินเดีย

จุดประกายความฝันของผู้เขียน ว่าสักวันหนึ่งต้องไปเยือนถ้ำตุนฮวงให้ได้ เพราะเป็นจุดที่สะสมมรดกพุทธศาสนาไว้เป็นจำนวนมาก และโอกาสที่จะได้สัมผัสเส้นทางสายไหม

จากวันนั้นถึงวันนี้ 50 ปีผ่านไป เพิ่งทำความใฝ่ฝันให้เป็นจริง

 

เส้นทางสายไหมเป็นเส้นทางที่ทุรกันดารมาก เพิ่งมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้เอง ที่รัฐบาลจีนหันมาสนใจเปิดประเทศ และเน้นส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่เป็นมรดกโลก

ลำพังเราจะเดินทางไปคนเดียวก็อาจจะทำได้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงมากทั้งการเดินทาง ที่พักและการว่าจ้างล่าม

เมื่อต้นปีนี้ นึกถึงความใฝ่ฝันนี้ ว่า ยิ่งอายุสังขารมากขึ้น ถ้าไม่ไปปีนี้ ความฝันก็อาจจะเป็นเพียงความฝันต่อไป

บังเอิญไปรำพึงกับคนที่มีความสนใจร่วมกัน และแก่เฒ่าพอๆ กัน เกิดการประสานความร่วมมือกันขึ้น

เราจัดทัวร์ครั้งแรก ล่ม เพราะเส้นทางที่ทัวร์จัดให้ และค่าใช้จ่ายไม่สมดุลกัน

เราต้องแสวงหาคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน และมีฐานะเพียงพอที่จะจ่ายค่าเดินทาง เนื่องจากเส้นทางนี้เป็นส้นทางทรหด ต้องได้ลูกทัวร์ที่ใจสู้ ลุยไหนลุยกัน

เราทุกคน รวมทั้งผู้เขียนจ่ายค่าทัวร์เท่ากัน เพื่อทำให้การกระจายรายจ่ายน้อยลง

 

ปัจจัยหนึ่งที่เราควบคุมไม่ได้คือ คุณภาพของล่าม แต่เราเน้นกับทัวร์ว่าเราต้องการคนที่มีความรู้ในเชิงประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพียงทัวร์ชะโงก ไม่ใช่ทัวร์ ช้อป แชะ ฉี่ เว้นในวันสุดท้าย เราจะไม่เสียเวลากับการช้อปเลย เรามีส่วนในการวางแผนเส้นทางการเดินทางตั้งแต่ต้น จึงเป็นกลุ่มทัวร์เฉพาะจริงๆ

ไม่น่าเชื่อว่า เราจองทัวร์ล่วงหน้าเป็นปี และลูกทัวร์ครบตั้งแต่ 6 เดือนก่อนการเดินทาง กลุ่มของเรา 28 คน เจ้าของบริษัททัวร์คือคุณมนัส เดินทางไปกับคณะเราด้วยตัวเองเพื่อดูแลไม่ให้มีเรื่องขาดตกบกพร่อง

ในระหว่างที่เตรียมการนั้น เรากังวลเรื่องวีซ่าเล็กน้อย ลูกทัวร์คนหนึ่งยืนยันว่าทัวร์จะต้องจัดการขอวีซ่าร์จากเมืองไทย ไม่ใช่ส่งไปที่จีนแล้วขอเป็นคณะ เพราะเรามีพระสี่รูปไปด้วย

ทำไมจีนถึงตั้งเงื่อนไขกับพระ เพราะมีพระไทยที่เดินทางไปแล้วไปเรี่ยไรได้เงินทองมาก รัฐเห็นว่าเป็นการหลอกลวงคนจีน ตกลงทั้งคณะได้วีซ่าคนละ 1 เดือน แต่พระ 4 รูป ได้รับอนุญาตเฉพาะ 12 วันที่จะเดินทางไปกับคณะทัวร์เท่านั้น

ปกติทัวร์จีนมักใช้เวลาเพียง 7 วันเต็มที่ ถ้ามากกว่านั้น ขายทัวร์ยาก นอกจากราคาแพงมากแล้ว ลูกค้าที่ทำงานก็จะลางานนานถึงขนาดนั้นยาก

แต่เราบอกกับทัวร์ว่า เราเน้นคุณภาพ เพิ่มวันขึ้นก็ไม่เป็นไร ทัวร์ของเราจึงใช้เวลา 12 วัน

 

ในคณะของเรามีผู้สูงอายุ 1 ใน 3 ท่านธัมมนันทาผู้นำทัวร์นำหน้าแถวในกลุ่มนี้ 60 ปลาย และ 70 ขึ้น กลุ่มที่สองราว 50 กลุ่มสาว คือ 30-40

เวลากินอาหาร เราจะมีสามัคคีธรรมกันมาก แยก 4 โต๊ะ โต๊ะธรรมดา 2 โต๊ะ โต๊ะละ 8 คน โต๊ะมังสวิรัติ 1 โต๊ะ 6 คน โต๊ะพระ 1 โต๊ะ 4 รูป ในโต๊ะอาหาร เป็นเวลาที่ลูกทัวร์จะทำความรู้จักกัน แม้จะเป็นคนไม่พูดเลย แต่ต้องนั่งกินข้าวด้วยกัน 36 มื้อ ในที่สุดก็รู้จักถ้วนหน้า

การที่เรามีลูกทัวร์คละวัยกันนี้ ปรากฏผลดีตอนที่เราลงจากรถไฟความเร็วสูง เพื่อออกมาขึ้นรถทัวร์ที่รออยู่ข้างนอกนั้น ระยะทางไกลมาก โดยเฉพาะตอนที่ลงบันได กระเป๋าทุกใบมีล้อ แต่ตอนลงบันได เราใช้วางตรงทางเลื่อนข้างบันได ได้ผลดีทีเดียว บรรดาลูกทัวร์สาวๆ ช่วยเป็นกุลีจัดการกระเป๋าร่วมกับไกด์และล่าม ตรงนี้ต้องยอมรับว่าประทับใจคุณภาพของจิตอาสามาก

ทัวร์นี้นอกจากมาหลายวันแล้ว ยังต้องเตรียมเครื่องกันหนาวมาด้วย เพราะทราบว่าอุณหภูมิบางแห่งติดลบ 2-3 องศา เพราะฉะนั้น แทบทุกคนกระเป๋าขนาดใหญ่ทั้งนั้น

แม้ของท่านธัมมนันทา ก็มีลูกศิษย์ที่เกาะยอถวายกระเป๋าขนาดใหญ่กว่าปกติมาด้วย

 

ก่อนการเดินทาง เรามีไลน์กลุ่มเส้นทางสายไหม ที่คอยเตือนกันล่วงหน้าว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง

คนที่มีประสบการณ์เคยไปเมืองหนาวมาก่อน ก็แชร์มาว่า ให้ใช้เสื้อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย เรียกว่า heat tech ผ้ายืดบางๆ ไม่กินเนื้อที่ แต่อุ่นมาก ต้องช่วยประชาสัมพันธ์เลยค่ะ นอกจากเสื้อแล้วก็มีถุงเท้าแบบเดียวกันด้วย

ทุกคนมีกระติกน้ำร้อน เพราะต้องใช้ตลอดทาง ที่ประเทศจีนในช่วงหน้าหนาว ทุกคนใช้กระติกน้ำร้อน มีแชร์มาอีกว่า ให้ซื้อยี่ห้อนี้… เก็บความร้อนได้ดี ผู้เขียนยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะมีคนถวายกระติกน้ำร้อน เป็นหลายสิบใบ แต่ 90 เปอร์เซ็นต์เก็บความร้อนได้ไม่ดีเท่ายี่ห้อที่ว่า

เออ แล้วทำไมเราต้องเลือกไปหน้าหนาว ไม่ได้จงใจค่ะ แต่เพราะติดหน้ากฐิน พอรับกฐินแล้ว ลูกทัวร์หลายคนอยากอยู่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ ทัวร์ของเราจึงต้องเป็นวันที่ 4 พฤศจิกายน ซึ่งเข้าหน้าหนาวพอดี

มีทัวร์กลุ่มหนึ่ง ไปเส้นทางสายไหมหน้าร้อน เขียนหนังสือออกมาใช้ชื่อว่า 46+ คือ 46 องศา ของเราก็คงจะกลับกัน เพราะช่วงที่เราไป ติดลบ 2 ไม่เดือดร้อน เพราะทุกคนเตรียมเครื่องหนาวไป แต่กระเป๋าต้องใหญ่กว่าการเดินทางปกติ

 

เราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปลงกวางโจว แล้วต่อเครื่องสายการบินภายในประเทศไปนอนที่ซีอาน

ที่สนามบินกวางโจว มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ช่วงที่เป็นต่างประเทศไม่จอแจเท่าส่วนที่เป็นในประเทศ ทั้งนี้เพราะเราเข้ามาจากต่างประเทศ และเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องภายในประเทศ

กวางโจวเป็นเมืองใหญ่ ผู้คนพลุกพล่านมาแต่โบราณ จนมีคำกล่าวของคนจีนว่า ถ้าอยากดูหัวคน ต้องไปกวางโจว หมายถึงเห็นคนจำนวนมากและหนาแน่น ยืนยันคำพูดนั้น ที่สนามบินภายในประเทศนี่เอง

ที่สนามบินกวางโจวมีห้องรับรองคนเดินทาง มีที่นั่งพักอย่างสบาย มีน้ำร้อนให้เติมกระติกน้ำที่ทุกคนติดตัวมา คนไหนหิว ก็ไปขอเส้นหมี่สำเร็จรูปได้โดยเอาเอกสารตั๋วไปแสดง มีเครื่องดื่มชนิดต่างๆ มีอาหารว่าง กรุบกรอบชนิดต่างๆ ทั้งหมดนี้ ฟรีค่ะ ถ้าเราเป็นลูกค้าของสายการบิน

มีเก้าอี้เอนให้นอนในกรณีที่ต้องรอเครื่องนาน มีเก้าอี้นวดไว้บริการ มีไวไฟ ฯลฯ ที่คนเดินทางจำเป็นต้องการใช้

จุดนี้สะดวกมาก และรู้สึกประทับใจกับวิธีคิดของรัฐบาลที่ดูแลอำนวยความสะดวกให้ผู้เดินทาง

ผู้เขียนต้องยอมรับว่า การเดินทางครั้งนี้ เปลี่ยนวิธีคิดของผู้เขียนไปมากต่อค่านิยมที่เรารังเกียจการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ มาคราวนี้ ได้เห็นข้อดีของการที่มีรัฐบาลที่คิดให้ประชาชน และสามารถนำประชาชนได้จริง

ชาวจีนที่อยู่ในประเทศจีนก็ชื่นชมรัฐอยู่ไม่น้อย

 

ขอเล่าคร่าวๆ ถึงเส้นทางที่เราวางแผนเดินทางนะคะ เรานอนที่ซีอานเมืองหลวงเก่า 2 คืน เที่ยวชมสถานที่ในซีอานแล้วเราเดินทางต่อไปเทียนฉุ่ย หลันโจว อู่เว่ย จางเย่ เจียอี้กวน ตุนฮวง ทูลูฟาน และอูลูมูฉี

แต่ละเมือง เราชมเมืองครึ่งวัน แล้วเดินทางไปเมืองต่อไปอีกครึ่งวัน เช่นนี้ จนตลอดเส้นทาง ทำให้เราได้สัมผัสแผ่นดินจีนที่กว้างขวางสุดคำบรรยาย

จากซีอานที่เป็นเมืองหลวงเก่า เราเดินทางขึ้นตามเส้นตะวันตกเฉียงเหนือค่ะ ถ้าเป็นเข็มนาฬิกา ก็คือเดินทางไปในทิศของเลข 10

จุดสุดท้ายของเส้นทางของเราคือ อูลูมูฉี นั้น ก่อนเดินทางก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเหมือนกันค่ะ เป็นเมืองหน้าด่านทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เราเดินทางไปทั้งหมดโดยรถทัวร์

ยกเว้นช่วงตันฮวงเข้าสู่ทูลูฟาน ที่เราเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูง ที่สะดวกสบายและประทับใจมาก

เราจบรายการทัวร์ที่เทือกเขาเทียนชานที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน น่าประทับใจอย่างยิ่ง

ขอโอกาสให้ผู้เขียนได้นำมาถ่ายทอดเป็นตอนๆ ไปนะคะ