ยึดเงื่อนไข สูตรเดิม 14 บวก 1 | จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

“เทียนใกล้จะดับ” หลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย เมื่อบ่ายจัดๆ วันที่ 28 มิถุนายน พลันที่ “นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคนำทีมแถลงปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มใหม่เกี่ยวกับตำแหน่ง “ประธานสภาผู้แทนราษฎร”

ว่า “เพื่อไทย” ยึดเงื่อนไข สูตรเดิม 14+1 “ก้าวไกล” ได้ 14 บวก 1 คือ “นายกรัฐมนตรี” ส่วน “เพื่อไทย” 14 บวก 1 คือ “ประธานสภา”

“หมอชลน่าน” ระบุว่า เป็นหลักการเดิมที่เคยเสนอไว้ตอนแรก ที่ผ่านมามีการนำเสนอความคิดเห็นต่างๆ เป็นเพียงความเห็นต่างภายในของแต่ละพรรค ซึ่งการนำเสนอบางมุมของสมาชิก และผู้สนับสนุนพรรคบางส่วนไม่เห็นด้วย พรรคเห็นว่าเมื่อเกิดกระแสความคิดเห็นที่แตกต่างก็ควรมีความชัดเจน หลังจากนี้คณะกรรมการเจรจาของพรรค นำข้อสรุปนี้ไปหารือกับพรรคก้าวไกล รวมถึงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย และการเจรจามีคำตอบอย่างไรก็ยังคงเป็นกระบวนการภายในของพรรคก้าวไกล เราไม่ได้เพิ่มหลักการใหม่ใดๆ เพื่อไม่ให้กระทบกับการเจรจา

ปรากฏ “ก้าวไกล” ไม่รับมุขล้มโต๊ะเจรจา โดยส่ง “ภคมน หนุนอนันต์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรค แจ้งกับสื่อมวลชนว่า เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 28 มิถุนายน การนัดหมายระหว่าง “ก้าวไกล” กับ “เพื่อไทย” เพื่อหารือข้อสรุปเกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภา ขอเลื่อนออกไปก่อนไม่มีกำหนด

โอกาสเดียวกันลูกไปแคนนอน กระทบชิ่ง ยกเลิกกำหนดการหารือระหว่าง 8 พรรคพันธมิตรที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ที่มีโปรแกรมตอนเย็นวันที่ 29 มิถุนายน ไปด้วยไม่มีกำหนดเช่นกัน

ดังนั้น ต้องรอการเจรจาร่วมระหว่างแกนนำก้าวไกลกับเพื่อไทยสรุปกันใหม่อีกครั้ง ว่าจะเสนอบุคคลที่ดำรงตำแหน่งประธานสภา ให้มีความชัดเจนว่าจะเคาะชื่อใคร ออกมาภายใน 2-3 วัน หาข้อสรุปกันให้ได้ก่อนพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมสภา ที่จะโหวตเลือกกันในวันที่ 4 กรกฎาคม

“ศึกเลือกตั้ง 2566” ดังที่ทราบ “ก้าวไกล” ที่ 1 กับ “เพื่อไทย” ที่ 2 สัดส่วนต่างกันแค่ 10 ที่นั่ง ถือว่าน้อยมาก แต่ “เพื่อไทย” แสดงคุณธรรมน้ำมิตรน่านับถือ ประกาศยกตำแหน่ง “ประมุขฝ่ายบริหาร” และ “นิติบัญญัติ” ให้ “ก้าวไกล” กินรวบทั้งสองตำแหน่ง

ท่ามกลางเสียงคัดค้านของลูกพรรคเพื่อไทยจำนวนมาก แต่คนที่กล้าออกมาว้ากเพ้ยเสียงดังฟังชัดคือ “อดิศร เพียงเกษ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ มาดับเครื่องชน อ้างว่า เพื่อไทยได้ 141 ที่นั่ง ก้าวไกลได้ 151 ที่นั่ง ถือว่าศักดิ์ศรีเท่ากัน ก้าวไกลได้ที่ 1 ตามประเพณีต้องยกให้เป็นประมุมฝ่ายบริหาร ซึ่งทุกคนเห็นด้วย แต่ไม่ใช่ว่าจะหาวเป็นดาวเป็นเดือน เกินพลังตนเอง จะมาเอาประธานสภาไปด้วย ส่วนตัวเห็นว่าง่ายเกินไป ไม่เห็นเพื่อนฝูงอยู่ในสายตา

“โดยส่วนตัวไม่รู้จะงดออกเสียงหรือไม่ เพราะไม่สามารถยกมือให้สามเณรและพระบวชใหม่ เป็นเจ้าอาวาสได้ พรรคเพื่อไทยไม่ใช่สาขาของพรรคก้าวไกล เพื่อไทยทำการเมืองต้องไม่อ่อน”

หยิกเล็บเจ็บเนื้อ โดน “ด้อมส้ม” ตอกกลับหน้าหงิก หน้างอไม่เป็นท่า “เพื่อไทยอย่าบูลลี่พระบวชใหม่ หรือสามเณรเลย ที่วัดตัวเองเอาแม่ชีใหม่มาเป็นหัวหน้าครอบครัว ให้พระแก่ทั้งวัดบูชา ยังไม่เห็นใครเขาว่าอะไรเลย”

 

อย่างไรก็ตาม “สงครามน้ำลาย” เหมือนจะจบ เพื่อไทยถอย ดูเหมือนว่า นายกรัฐมนตรีจะชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ขณะที่ “ประธานสภา” แนวโน้มว่า หวยจะออกที่ “หมออ๋อง-ปดิพัทธ์ สันติภาดา” ส.ส.พิษณุโลก

ถึงขนาดว่า เจ้าตัวออกมาประกาศจุดยืน บนเก้าอี้ประธานสภาล่วงหน้า จะยึดมั่นในความเป็นกลาง และประกาศจะไขก๊อกออกจากกรรมการบริหารพรรค มุ่งทำหน้าที่เป็นกลาง ไม่ให้พรรคอื่นเสียเปรียบ

พร้อมประกาศนโยบาย บนเก้าอี้ “ประมุขนิติบัญญัติ” ไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย เป็น “ภารกิจ 3 ป.” คือ 1.ประสิทธิภาพ ใช้เวลาพิจารณากฎหมายอย่างรวดเร็ว ไม่เกิดเหตุสภาล่มบ่อย เชื่อต่อประชาคมโลก 2.โปร่งใส ทำระบบเปิดข้อมูลอภิปรายให้ประชาชนตรวจสอบได้ ทำระบบแสดงตนไม่ให้เกิดการเสียบบัตรแทนกัน และ 3.ประชาชนเข้าถึงทุกบริการของสภา จัดทำสภาเยาวชน จัดทำสภาสัญจร ให้ประชาชนติดต่อสอบถาม ส.ส.ผ่านเว็บไซต์

แต่การเมืองเหมือนอยู่กลางทะเลใหญ่ อย่าเชื่อใจว่าทะเลสงบ ขณะที่ “โอลด์แทรฟฟอร์ด” รังผีแดงก็ดี “ถิ่นแอนด์ฟิลด์” รังหงส์แดงก็ด้วย จะโดนยึดไปเป็น “สนามเด็กเล่น” น่าจะเรียบร้อยแน่นอนอยู่นั้น

“เพื่อไทย” ไม่รู้โดนกดดัน หรือถูกใครเป่ากระหม่อม รู้แต่ว่า เด็ดขาด กับทรงพลัง และขลังมาก ประกาศกลับลำ 360 องศา ดาหน้าออกมายืนกราน หลักการเดิม สูตร 14 บวก 1 ต้องสลับฟันปลาระหว่างกัน เมื่อ “ก้าวไกล” ได้ประมุขฝ่ายบริหาร “นายกรัฐมนตรี” ไปแล้ว “เพื่อไทย” ต้องได้ “ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ-ประธานสภาผู้แทนราษฎร”

จึงเป็นห้องเครื่องให้การเจรจาระหว่าง “ก้าวไกล-เพื่อไทย” ในวันถัดมาต้องล้มโต๊ะ และพักดีล 8 พรรคพันธมิตร ไปแบบไม่มีกำหนด

ต้องยอมรับว่า จุดเปลี่ยนของเกมการเมืองกระดานนี้ มีผลสะเทือนต่อ “ก้าวไกล” และการเป็นนายกฯ ของ “พิธา” ค่อนข้างสูงและมาก แม้จะเป็นแชมป์เลือกตั้งก็ตาม เพราะนอกจากพันธมิตรขั้วเก่าจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว เงื่อนไขก็มากมายก่ายกอง ล้วนใหญ่โตโอฬารเต็มไปหมด แค่ “เพื่อไทย” สลัดขั้ว ไม่เอาด้วยก็ยากหนักอยู่แล้ว

ผิดกับเพื่อไทย งวดนี้โชคชะตาเปลี่ยน ฟื้นคืนอิสระ ไม่มีพันธะอะไรผูกพันเหมือนเดิม หาก “ก้าวไกล” ไม่อยากปิดห้องถอดเสื้อคุยกันใหม่ “เพื่อไทย” สามารถโรเตชั่นไปจับมือกับฝั่งอำนาจเก่า เลือกได้หลายสูตร

น่าลุ้น มีแนวโน้มมากที่สุด “เพื่อไทย” 141 เสียง “ภูมิใจไทย” 71 เสียง “พลังประชารัฐ” 40 เสียง “ประชาธิปัตย์” 25 เสียง “ชาติไทยพัฒนา” 10 เสียง และ “ประชาชาติ” 9 เสียง เท่ากับ 295 เสียง

ดัน “เศรษฐา ทวีสิน” แดนดิเดตเพื่อไทยนั่งเก้าอี้นายกฯ คนที่ 30 ล้านเปอร์เซ็นต์เพราะว่า ส.ว.สายกลาง+สาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” แห่นาคมาสมทบเกิน 376 สบายบรื๋อ

กรณีที่ “นายห้างดูไบ” อยากกลับบ้านเลี้ยงหลาน และคอนเฟิร์มความปลอดภัย “เพื่อไทย” ไปจับขั้วกับ “รวมไทยสร้างชาติ” ต่อวีซ่าให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกฯ อีก 2 ปี

สูตรหลัง น่าจะป่าช้าแตก