การ์ตูนที่รัก/Maus (2)

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

การ์ตูนที่รัก/นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Maus (2)

อาร์ต สปิเกลแมน หรืออาร์ตี้มาเยี่ยมหาพ่อ วลาเด็ก และแม่ใหม่ มาลา บ่อยครั้งเพื่อฟังเรื่องเล่าของชีวิตของพ่อซึ่งเป็นชาวยิวโปแลนด์เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง

อาร์ตี้พบว่ามาทีไรพ่อมีเรื่องหงุดหงิดต่อว่าแม่ใหม่ได้ทุกครั้ง แม้เขาจะไม่เข้าใจนักแต่ก็มิได้ซักถาม

เล่ม 1 บทที่ 3 และ 4

วลาเด็กเล่าต่อไปว่าเขาถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ฮิตเลอร์จะสั่งบุกโปแลนด์เมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี 1939 อันเป็นสงครามครั้งแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เขามีเวลาฝึกน้อยมากและน้อยเกินกว่าจะใช้การได้ เขาจึงตกเป็นเชลยอย่างรวดเร็ว

พ่อถูกย้ายค่ายหลายครั้ง ใช้ชีวิตอดอยากและทำงานหนัก

งานส่วนใหญ่ของเชลยคือขุดดินแบกหิน เพื่อทำถนนยุทธศาสตร์ พูดง่ายๆ ว่าพวกเขาขุดภูเขาทั้งลูกเพื่อถมทะเลสาบให้กลายเป็นถนน!

พ่อถูกย้ายไปทางตะวันออกที่เมืองลับลิน จากเมืองลับลินอาศัยเส้นสายที่ยังพอมีเหลืออยู่บ้างพ่อได้ออกจากค่ายเชลยไปอาศัยอยู่กับเพื่อนในฐานะญาติ แต่ก็ไม่ปลอดภัยเท่าใดนัก พ่อจึงปลอมตัวเป็นชาวโปลตบตาเจ้าหน้าที่โปแลนด์ลักลอบเดินทางกลับบ้านที่ซอสโนวิกเพื่อพบครอบครัว

อาร์ตวาดรูปหนูชาวยิวปลอมเป็นหมูชาวโปลด้วยการใส่หน้ากากเท่านั้น

ที่ซอสโนวิก ครอบครัวยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา นั่นเป็นเพียงปี 1940 แต่ธุรกิจของครอบครัวได้ถูกนาซียึดไปแล้ว มีการกวาดจับชาวยิวจากท้องถนนช่วงกลางวันแสกๆ ไปจำนวนมากในแต่ละวัน วลาเด็กต้องอาศัยบัตรทำงานปลอมเพื่อตบตาทหารนาซีว่าตนเองทำงานในโรงงานที่ผลิตชิ้นส่วนให้กองทัพเยอรมนีจึงพอเอาตัวรอดไปได้

ระหว่างที่พ่อเล่าเรื่องให้อาร์ตี้ฟัง มีเหตุที่ทำให้เขาขุ่นใจเรื่องเมียใหม่ มาลา อยู่เรื่อยๆ ข้อกล่าวหาที่เขารังเกียจเมียใหม่คือเรื่องเมียใหม่เห็นแก่เงินและหวังฮุบสมบัติที่เขามี อาร์ตี้พบด้วยตนเองว่าพ่อเป็นคนขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ คอยตรวจสอบวิธีใช้เงินของเมียใหม่และของเขาเองด้วยความระแวดระวังไปจนถึงขั้นหวาดระแวง

วันหนึ่ง ขณะที่วลาเด็กเดินอยู่บนถนน ทหารเยอรมันจอดรถขวางถนนหน้าหลังแล้วกวาดจับชาวยิวไปจำนวนมาก วลาเด็กตัดสินใจไม่ถูกว่าควรเดินเร็วเท่าไร

เดินช้าเกินไป จะถูกจับหรือเปล่า เดินเร็วเกินไป จะถูกยิงหรือไม่

วลาเด็กกลัวมาก แต่ทันใดนั้นเอง อิลเซ็กคี เพื่อนชาวยิวคนหนึ่งช่วยเขาเข้าไปหลบซ่อนในอาคาร วันนั้นอิลเซ็กคีเสนอให้วลาเด็กนำลูกๆ ของพวกเขาเดินทางออกจากเมืองไปหลบซ่อนที่อื่นจนกว่าสงครามจะผ่านไป วลาเด็กเห็นชอบด้วยนำความนี้ไปปรึกษาที่บ้านปรากฏว่าได้รับการต่อต้านอย่างแข็งขันจากทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอันจาซึ่งโกรธแค้นมากจนตาลุกเป็นไฟ “เธอบ้าหรือเปล่า เอาลูกไปฝากไว้กับคนแปลกหน้า”

“อิลเซ็กคีและภรรยาไม่รอดจากสงคราม แต่ลูกชายเขารอด ลูกชายของเราไม่รอด” พ่อบอกอาร์ตี้

เมื่อถึงปี 1941 นาซีเริ่มยึดทรัพย์สินและเครื่องเรือนของชาวยิวทีละบ้านๆ ตามด้วยการสั่งอพยพทุกครอบครัวไปที่เขตกักกัน ชาวยิวที่ทำการค้าตลาดมืดถูกแขวนคอกลางถนนและแขวนไว้เช่นนั้นหนึ่งสัปดาห์ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พ่อกลัวมากเพราะเขาค้าขายในตลาดมืดด้วยและบางทีเขาอาจจะถูกเปิดโปงไปก่อนแล้ว

ครอบครัววลาเด็กมีด้วยกัน 12 คนอาศัยอยู่รวมกันในบริเวณสองห้องครึ่งซึ่งถือว่ามีความเป็นอยู่ดีกว่าอีกหลายครอบครัว ที่อยู่อาศัยในปี 1941 นี้ยังมิใช่เก็ตโตจริงๆ การกวาดต้อนหนูชาวยิวเข้าเก็ตโตจะเริ่มขึ้นในปีถัดมาเมื่อตำรวจชาวยิวมาหาวลาเด็กถึงบ้านเพื่อขอให้ย้ายคนแก่ไปที่อีกเมืองหนึ่ง จากนั้นจึงตามด้วยการกวาดต้อนครั้งใหญ่ ครอบครัวชาวยิวจำนวนมากพลัดพรากจากกัน คนที่แข็งแรงหรือพยายามทำให้เยอรมนีเห็นว่าแข็งแรงจะได้อยู่เขตหนึ่ง พวกที่ไม่ผ่านเกณฑ์ไปอยู่อีกเขตหนึ่ง

“ชาวยิวที่ใส่เครื่องแบบตำรวจช่วยเหลืองานนาซีเชื่อว่าถ้าพวกเขายอมจ่ายชาวยิวบางส่วนให้แก่นาซี น่าจะช่วยส่วนที่เหลือได้มากกว่า” คือคำอธิบายเวลานั้น ซึ่งเรารู้ว่าไม่จริงในเวลาต่อมา

ชาวยิวส่วนหนึ่งยังอยู่ในเก็ตโต ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีห้องส้วมที่ถูกสุขลักษณะ มันมิใช่เป็นเพียงสลัมแต่คือนรกบนดิน

ในขณะที่ชาวยิวอีกส่วนหนึ่งถูกกวาดต้อนขึ้นรถไฟไปที่ใหม่ เวลานั้นยังไม่มีใครได้ยินเรื่องค่ายกักกันเอาตซ์วิตช์

กระแสข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบยังมาไม่ถึง

อาร์ต สปิเกลแมน เลือกหนูเป็นตัวแทนชาวยิวนี้มาจากข้อความตอนหนึ่งในหนังสือพิมพ์เยอรมันช่วงทศวรรษที่ 1930 ที่พูดถึงมิกกี้เม้าส์ของดิสนีย์ ความว่าเรื่องมิกกี้เม้าส์เป็นไอเดียที่เลวร้ายที่สุด สัตว์โลกที่สกปรก มีหนอนพยาธิและเชื้อโรคมากที่สุดในอาณาจักรสัตว์จะเป็นตัวเอกได้อย่างไร แล้วก็มีส่วนที่ย้อนแย้งกันเมื่ออันจาเป็นคนที่กลัวหนูมาก

ตอนที่หนูชาวยิวปลอมตัวเป็นหมูชาวโปล อาร์ตเขียนง่ายๆ เพียงแค่ใส่หน้ากาก เพียงเท่านี้สองชาติก็เหมือนกันแล้ว แต่เขาไม่ลืมที่จะทิ้งหางแมวยาวเฟื้อยเอาไว้ให้พวกเยอรมันเพื่อให้เห็นความแตกต่าง

ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างแมวเยอรมันและหนูยิวก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ล่าและผู้ถูกล่าเท่านั้น และจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนที่เหตุการณ์จะเปลี่ยนไป

เมื่ออ่านมาถึงกลางเล่มหนึ่ง เราจะพบความขัดแย้งระหว่าง “อาร์ตี้” กับพ่อหลายครั้ง และดูเหมือน “อาร์ต” พยายามที่จะเชื่อมต่อกับพ่อด้วยการเชื่อมต่อกับความทรงจำของพ่อ โดยใช้อาร์ตี้เป็นตัวแทน พ่อในวันนี้น่ารำคาญมาก มิหนำซ้ำเมียใหม่ก็น่ารำคาญพอกัน แต่ความทรงจำของพ่อเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันจะยังคงอยู่และไม่แปดเปื้อนหากอาร์ตสามารถดึงมันออกมาได้ดีพอ

อาร์ตแสดงความหงุดหงิดและประท้วงทันทีที่พ่อเล่าเรื่องไม่เป็นไปตามลำดับเวลา กระโดดจากปี 1941 ไปสู่การล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1943 โดยข้ามเรื่องราวของเก็ตโตไปเสีย เขาต้องขอให้พ่อเล่าใหม่เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่เขาจะไล่ตามพ่อทัน

เพราะอะไรอาร์ตจึงเห็นความจำเป็นที่ตนเองจะต้องเชื่อมต่อกับความทรงจำของพ่อให้ได้