วางบิล เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ จากฆราวาสสู่บรรพชิต

วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์ จากฆราวาสสู่บรรพชิต

สามเณรปานกลับเข้ามาอีกครั้งตรงเข้ากลางวงสงฆ์ นั่งเข่ากราบพระกรรมวาจาจารย์ที่นั่งทางขวาของอุปัชฌาย์ รับดอกไม้ธูปเทียนแพเครื่องสักการะถวายก่อนจึงกราบ 3 ครั้ง นั่งคู้เข่าพร้อมเปล่งวาจาขอสรณะและศีลอันเป็นสิกขาบทของสามเณรตามพระบัญญัติ 10 ประการ หรือศีล 10

คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการขโมย เว้นจากกรรมอันมิใช่พรหมจรรย์ เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการดื่มน้ำเมา เว้นจากการบริโภคอาหารตั้งแต่พระอาทิตย์เลยเที่ยงวัน เว้นจากฟ้อนรำขับร้องและดูการ

ละเล่นที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ เว้นจากทัดทาดอกไม้ของหอมและเครื่องทาอันเป็นฐานแต่งตัว เว้นจากนอนบนที่นอนสูงที่นอนใหญ่ และเว้นจากการรับเงินทอง

เมื่อกล่าวจบและกราบ 3 ครั้ง จึงหันมารับบาตรจากน้าเมืองแล้วอุ้มเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ในสงฆสันนิบาต วางบาตรลงข้างตัว รับเครื่องสักการะ คือดอกไม้ธูปเทียนแพถวายพระอุปัชฌาย์ กราบ 3 ครั้ง นั่งคู้เข่าพร้อมกล่าวขอรับนิสัยขอให้ท่านเป็นอุปัชฌาย์ แล้วกล่าวรับเป็นภาระซึ่งกันและกันเป็นคำมคธ แปลความว่า “ตั้งแต่วันนี้ไป พระเถระย่อมเป็นภาระของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมเป็นภาระของพระเถระ”

กราบ 3 ครั้ง

ลําดับนั้น พระอุปัชฌาย์บอกกล่าวสามเณรปานว่า ถึงเวลาที่สงฆ์จะทำการอุปสมบทกรรมยกขึ้นเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา และในกรรมวาจาที่จะสวดประกาศในสงฆสันนิบาตจะต้องออกชื่อผู้อุปสมบทและอุปัชฌาย์ ให้จำชื่อของตัวและอุปัชฌาย์ในภาษามคธไว้บอกเมื่อได้รับบาตรจีวรว่าสิ่งนั้นชื่อนั้นแล้ว รับคำแล้วจำชื่อนั้นๆ ไว้ใช้อธิษฐาน

สามเณรปานนิ่งฟัง แต่ไม่ทราบพระอุปัชฌาย์ว่ากระไรในทั้งหมดนั้น ด้วยมีการฝึกซ้อมกรรมวิธีก่อนหน้านี้ จึงไม่เป็นการยากในการปฏิบัติ

พระกรรมวาจาจารย์หยิบสายโยคบาตรคล้องตัวสะพายแล่งทางบ่าซ้าย ให้ตัวบาตรอยู่ข้างหลัง แล้วบอกบาตรจีวร ใช้มือขวาจับสิ่งนั้นๆ เป็นภาษาบาลี สามเณรปานรับคำจนครบ จึงได้รับคำสั่งให้ออกไปยืนข้างนอกสันนิบาตสงฆ์ เดินพนมมือสำรวมไปยืนกึ่งกลางด้านในหน้าโบสถ์ หันหน้าเข้าหาพระประธาน ไม่ได้มองใครว่านั่งตรงไหนบ้าง มัวแต่นึกถึงขั้นตอนว่าจะต้องกล่าวคำอย่างไรบ้าง

พระคู่สวด คือพระกรรมวาจาจารย์กับพระอนุสาวนาจารย์ ซึ่งนั่งด้านซ้าย ลุกขึ้นคู้เข่ากราบพระรัตนตรัย ตั้งนโมสามจบ นั่งราบสวดกรรมวาจาสมมติตนเป็นผู้สอนซ้อมผู้จะอุปสมบทพร้อมกัน แล้วลุกออกมายังสามเณรปานยืนบนผ้าที่ปูไว้ กล่าวกับสามเณรปานเป็นคำมคธความว่า นี้เป็นกาลสัตย์จริง เมื่อถามท่ามกลางสงฆ์ถึงสิ่งอันเกิดแล้ว มีอยู่ พึงกล่าวว่ามี ไม่พึงกล่าวว่าไม่มี อย่ากระดาก อย่าเป็นผู้เก้อ

ภิกษุทั้งหลายจักถามอย่างนี้ว่า อาพาธอย่างนี้มีหรือไม่ แล้วถามลำดับโรค คือ โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคม่องคร่อ ลมบ้าหมู เป็นคำบาลี ต้องตอบเป็นภาษาบาลีว่า นัตถิภันเต แปลว่าไม่มีเจ้าข้า แต่ละครั้ง รวม 5 ครั้ง

จากนั้นจึงถามว่า เป็นมนุษย์หรือ เป็นผู้ชายหรือ เป็นไทแก่ตัวหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ข้าราชการที่เรียกว่าราชภัฏหรือ บิดามารดาอนุญาตแล้วหรือ มีอายุครบยี่สิบปีแล้วหรือ บาตรจีวรมีครบแล้วหรือ ดังนี้ ตอบว่า อามะภันเต หรือ ขอรับเจ้าข้า แต่ละครั้ง รวม 8 ครั้ง แล้วถามชื่อตัว ชื่อพระอุปัชฌาย์

สอนซ้อมเสร็จ พระคู่สวดกลับไปที่เดิม กราบครั้งหนึ่ง แล้วนั่งราบพับเพียบพนมมือ สวดเรียกสามเณรปานซึ่งจะเข้าอุปสมบทให้ไปหา

สามเณรปานเดินสำรวมพนมมือกลับเข้าที่เดิม นั่งคู้เข่า กราบ 3 ครั้ง แล้วเปล่งวาจาขออุปสมบท 3 ครั้ง พระอุปัชฌาย์กล่าวเผดียงสงฆ์เพื่อซักถามอันตรายิกธรรม และเพื่อทำความตกลงในกรรมว่า

“เราทั้งหลายอุปสมบทด้วยกรรม มีกรรมวาจาทั้งญัตติด้วย เป็นที่สี่อันไม่กำเริบควรแก่ฐานะ”

พระคู่สวดกล่าวถามอันตรายิกธรรมแก่สามเณรปานอย่างที่ซ้อมสอนเมื่อครู่อีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางสันนิบาตสงฆ์จนจบ และสวดด้วยญัตติจตุตถกรรม คือวาจาแรกที่เรียกว่า ญัตติ คือคำนัด อีกสามครั้ง เรียกว่า อนุสาวนา คือคำประกาศถึงที่ว่า ผู้มีชื่อนี้ สงฆ์อุปสมบทแล้ว มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌาย์ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความไว้อย่างนี้เป็นครั้งสุดท้าย สงฆสันนิบาตพนมมือรับว่า สาธุ 3 ครั้ง

สามเณรปานเป็นภิกษุตั้งแต่เวลานั้น เวลาที่พระอุปัชฌาย์ลงชื่อฉายาว่า “ธนชโย ภิกษุ” และเวลาทันทีที่คำสวดญัตติจบเมื่อ 15.19 นาฬิกา

พระกรรมวาจาจารย์ปลดบาตรออกจากบ่า ให้พระปานกราบ 3 ครั้ง แล้วนั่งพับเพียบ ฟังพระอุปัชฌาย์บอกอนุศาสน์เป็นภาษาบาลีอีกครู่ใหญ่ เป็นเสร็จพิธีสงฆ์

พระใหม่รับถวายจตุปัจจัยไทยธรรมจากญาติพี่น้อง แล้วนำเครื่องสักการะดอกไม้ธูปเทียนแพถวายแด่พระอนุสาวนาจารย์ ถวายดอกไม้ธูปเทียนแพและใบปวารณาจตุปัจจัยแด่พระอันดับจนครบทุกรูป สงฆ์ที่นั่งหัตถบาสเป็นพระอันดับสวดอนุโมทนาให้พร แล้วทยอยออกไปทางประตูด้านหลังอุโบสถ

“เอ้า เสร็จแล้ว ญาติโยมเขาออกทางหน้าโบสถ์ กลับบ้าน เราต้องอยู่วัด ออกทางประตูหลัง” ท่านเจ้าคุณใหญ่พระอุปัชฌาย์บอกพระปานด้วยสีหน้ายิ้มขณะกระหย่งตัวลุกขึ้นกลับออกไปเช่นกัน

ความโกลาหลเกิดขึ้นหลังจากนั้น พระปานเขยิบมานั่งด้านหน้ายกพื้นพระอุโบสถ นางส้มจีนและน้าเมืองเข้ามาถวายของพระ แล้วนั่งด้านข้างพระ ถ่ายภาพ ถึงคิวของพี่น้องและญาติทยอยเข้ามาถวายสิ่งของเครื่องใช้พระใหม่ หลังจากนั้นจึงเป็นคิวถ่ายภาพของพี่สาวน้องสาวน้องชายและญาติ ก่อนจะลงมาหน้าอุโบสถถ่ายภาพกับเพื่อนที่มาร่วมอนุโมทนา

ก่อนแยกย้ายกันกลับ

เวลาเริ่มเย็น นางส้มจีนขอให้พอได้แล้ว จะได้ส่งพระใหม่กลับเข้ากุฏิเสียที ให้พระใหม่เดินนำไปที่กุฏิ พร้อมกับพี่น้อง ญาติกับเพื่อนสนิทบางคน หอบเครื่องใช้อัฐบริขารของพระตามหลัง

ถึงกุฏิ นางส้มจีนบอกกับพระลูกชาย “ถ้าต้องการอะไรให้เด็กโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านนะคะ” พร้อมกับพี่สาวคนโตปวารณาตัว แล้วลากลับ

บาเรียนกับเพื่อนสนิทสองสามคนเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ๆ “สีกาเมยไม่มาหรือครับ” บาเรียนถามยิ้มๆ เขาหมายถึงจงจิต ที่ทุกคนมักเรียกชื่อเล่นของเธอ พระปานสั่นหน้าน้อยๆ ปฏิเสธ “เห็นบอกว่าติดงาน คงจะลงมาได้เดือนหน้ากระมัง”

สักพัก ทุกคนจึงกราบลา สมเจตน์เอ่ยก่อนกลับว่า มีอะไรให้รับใช้โทรศัพท์ไปบอกที่ทำงาน “ผมคงไม่มีเวลามาเยี่ยมแน่ อีกอย่างวัดกับผมไม่ค่อยถูกอัธยาศัยกันเสียด้วย”