33 ปี ชีวิตสีกากี (19) | เจอกับตัว-ความโหดรุ่นพี่ลงทัณฑ์

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

นักเรียนใหม่จะอยู่ในความปกครองของนักเรียนชั้นปีที่ 4, 3 และ 2 ตลอดเวลา

การฝึกหรือระเบียบต่างๆ นักเรียนชั้นปีที่ 4 จะเป็นผู้ฝึกให้ นักเรียนใหม่จะต้องเคารพเชื่อฟังรุ่นพี่ เวลาผ่านก็ต้องขออนุญาตและทำความเคารพ

เป็นนักเรียนใหม่ต้องระวังตัวตลอดเวลา เพราะถ้าผิดนิดผิดหน่อย นักเรียนรุ่นพี่จะสั่งลงโทษทันที

เป็นนักเรียนใหม่จึงต้องหูไวตาไวตลอดเวลา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ นักเรียนรุ่นพี่

หลังจากผ่านการฝึกมาหลายเดือนแล้ว นักเรียนใหม่จึงได้รับการฝึกซ้อมยิงปืนพก ที่สนามยิงปืนของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เกือบทุกสัปดาห์จะได้ยิงปืนพกลูกโม่ หรือรีวอลเวอร์ ขนาด .38 ลำกล้อง 4 นิ้ว จำนวน 5 นัด

เมื่อได้ฝึกยิงปืนหลายครั้ง ถ้าใครยิงปืนไม่ดีคะแนนต่ำ จะถูกทำโทษถูกกักบริเวณวันเสาร์อาทิตย์

ทุกคนลุ้นจะได้ออกนอกโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน แต่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นตลอดเวลา บางคนไม่ได้ลุ้นอะไรก็ได้ออก

บางคนลุ้นมาตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันศุกร์ พอเช้าวันเสาร์ทำผิดนิดเดียว ถูกกักบริเวณเสียแล้ว

 

ในระหว่างที่นักเรียนใหม่อยู่ในช่วงที่กำลังฝึกหนักตลอดเวลาอยู่นั้น ก็มีการโยกย้ายนายตำรวจใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียน

และครั้งนี้เป็นการย้ายนายตำรวจที่จบนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 29 เข้ามาทำหน้าที่ ผู้บังคับหมวดคนใหม่ของกองร้อยที่ 1 คือ ร.ต.ต.ชำนาญ เครือบัว ไม่นานก็เลื่อนยศเป็น ร.ต.ท.

เข้ามาพร้อมๆ กับ ร.ต.ต.โกศล พัวเวส อยู่กองร้อยที่ 2 ร.ต.ต.มณฑป สุคนธมาน อยู่กองร้อยที่ 3

และนายตำรวจคนดังที่ตามมาภายหลัง คือ ร.ต.ท.สุริยา กลิ่นฟุ้ง ที่มีความหฤโหดในการทำโทษนักเรียนนายร้อยตำรวจ สร้างความหวาดผวาให้นักเรียนนายร้อยตำรวจทุกชั้น

การเข้ามาของนายตำรวจ รุ่น 29 ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ อาณาจักรสามพรานกลับมาลุกเป็นไฟ ที่ร้อนระอุไปทั่วทุกตารางนิ้ว

แม้จะขอพรจากเจ้าพ่อสามพราน หลวงพ่อนาค ขอให้คลาดแคล้วจากการถูกทำโทษ ขอให้รอดพ้นจากการถูกกักบริเวณหรือถูกเข้าเวรยามหลายผลัด ก็ยังไม่สามารถต้านทานจากพายุประลัยกัลป์ รุ่น 29 ได้

นักเรียนนายร้อยตำรวจทุกชั้น ถูกสั่งทำโทษด้วยการพาแถววิ่งรอบสระ ดังนั้น ชั้นปีที่ 1 จึงเป็นเหยื่ออันโอชะ การได้กินอิ่ม หลับสบาย เป็นเพียงแค่ความฝัน

แม้ในยามเรียน ใครอย่าได้เผลอนั่งหลับเป็นอันขาด ชะตากรรมอาจจะได้พบวิบากกรรมในยามวิกาล

ผมเชื่อว่า นักเรียนนายร้อยตำรวจแทบจะทุกคนจดจำความร้อนระอุ ที่ยุคสมัยนี้เพ้อออกมาว่า ร้อนปรอทแตก ได้เป็นอย่างดีทั้งผู้หมวดใหม่ ร.ต.ท.ชำนาญ เครือบัว สมทบกับ รอง ผกก.1 พ.ต.ท.เหมราช ธารีไทย นำนักเรียนชั้นปีที่ 1 ไปฝึกที่ลานฝึกศรียานนท์ และทำโทษทั้งชั้น ด้วยการกลิ้งม้วนหน้าทั่วทั้งสนามรักบี้ ได้เป็นอย่างดี

และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว บ่อยจนจดจำจำนวนนับไม่ได้ การแจกยาม แจกการกักบริเวณ เป็นโบนัสที่นักเรียนนายร้อยตำรวจไม่มีใครปรารถนาจะรับ

ยิ่งเป็นยามผลัดดึกๆ และเข้ายามติดๆ กันเกือบทุกวันมันเป็นความโหดร้ายและไม่ใช่เรื่องสนุกเลย

สร้างความเข็ดขยาด หวาดกลัวในความเร่าร้อนที่แผ่ออกมาจาก ผู้บังคับหมวด รุ่น 29 ไม่รู้ลืม

 

ช่วงที่แผ่นดินกำลังร้อนระอุลุกเป็นไฟ พี่กองร้อยที่ 2 หรือนักเรียนนายร้อยตำรวจชั้นปีที่ 2 ซึ่งพักอยู่ตึกตรงข้ามกับกองร้อยที่ 1 มีลานปานะดิษฐ์ และบล็อกแนวต้นสนคั่นกลาง ก็ถูกผู้ช่วยผู้บังคับหมวด ทำโทษอย่างหนัก แม้จะขึ้นไปอยู่ชั้นปีที่ 2 แล้วก็ตาม

ในค่ำคืนหนึ่ง ผู้ช่วยผู้บังคับหมวด กองร้อยที่ 2 ถึงกับสั่งให้พี่กองร้อยที่ 2 ปีนขึ้นไปบนต้นสน ที่อยู่แนวบล็อกต้นสนหน้ากองร้อย จนเป็นเหตุให้พี่กองร้อยที่ 2 คนหนึ่งตกลงมาได้รับบาดเจ็บ

ความโหดของผู้ช่วยผู้บังคับหมวด กองร้อยที่ 2 ยังดังข้ามฟากมาถึงกองร้อยที่ 1 และผมยังจดจำชื่อของผู้ช่วยผู้บังคับหมวดกองร้อยที่ 2 ได้ คือ นรต.สิทธิโชค บุญญสิทธิ์ รุ่นน้องตั้งฉายาว่า เดอะด็อก กับ นรต.เทศา ศิริวาโท ฉายาคือ ออร์ก้า

และผมก็เจอความโหดด้วยตัวของผมเอง จนจำมาได้ถึงทุกวันนี้

 

ขณะที่ผมกำลังขัดรองเท้าคอมแบตอยู่ข้างเตียงนอนของผม บนโรงนอนกองร้อยที่ 1 ผมได้เรียนรู้วิธีขัดรองเท้าคอมแบต รองเท้าคัตชูให้มันแวววับ ต้องทำอย่างไร

ผมมาจาก ม.ศ.5 ต้องสอบถามวิธีขัดรองเท้าจากพวกที่มาจากโรงเรียนเตรียมทหาร กับพวกที่เป็นตำรวจมาก่อน ซึ่งได้สอนผมให้ใช้กีวี น้ำยาขัดรองเท้าสีดำ แล้วใช้สำลีตรารถพยาบาล ซึ่งเป็นสำลีที่เหมาะมากกับการนำมาขัดรองเท้าหนังได้ดีกว่ายี่ห้ออื่น

โดยดึงสำลีจากขดที่ม้วนในห่อมาก้อนหนึ่ง ชุบน้ำสะอาด บีบจนสำลีเปียกหมาดๆ จากนั้นนำไปแตะกีวี ไม่ต้องมาก แล้วใช้สำลีก้อนนั้นเอาส่วนที่แตะกีวีไปวนที่หัวรองเท้า ครั้งแรกๆ ต้องใช้เวลาวนนานพอสมควร จนเนื้อกีวีเริ่มเคลือบหนังรองเท้า และต้องพยายามเปลี่ยนไปใช้สำลีด้านที่ยังไม่ใช้มาวนบริเวณหัวรองเท้าซ้ำๆ ไปๆ มาๆ จนกว่าหัวรองเท้าจะเป็นเงาแวววับ

การขัดรองเท้าคอมแบต ปกติจะขัดให้หัวรองเท้าและส้นรองเท้าให้เป็นเงาแวววาว ส่วนตัวรองเท้าส่วนอื่นใช้แปรงขัดรองเท้าแตะกีวีแล้วแปรงให้ทั่วจนดำสนิท

แต่ถ้าเป็นรองเท้าคัตชู ต้องขัดรองเท้าให้เงาแวววาวทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะหัวรองเท้าและส้นเท่านั้น เพราะต่อมาผู้ช่วยผู้บังคับหมวด ยังสั่งให้ขัดพื้นรองเท้าให้สะอาดแวววาวด้วย

และเมื่อนักเรียนใหม่กลับจากไปพักวันเสาร์อาทิตย์ เมื่อกลับเข้ามาแล้วตอนเย็นวันอาทิตย์ ต้องมายืนประจำเตียงของทุกคน แล้วนำรองเท้าที่สวมออกไปนอกโรงเรียน มาขัดให้สะอาดและเงาแวววับ รวมทั้งขัดพื้นรองเท้าด้วย

จากนั้นนำรองเท้าที่ขัดแล้ววางบนเตียงนอน ร่วมกับสิ่งของอื่นๆ เช่น ขันอาบน้ำ มีอุปกรณ์ในการอาบน้ำครบหรือไม่ ถ้าขัดรองเท้าไม่สะอาดไม่ดีพอ ผ้าปูที่นอนก็จะสกปรกจากกีวี

ผมยังได้เรียนรู้วิธีขัดรองเท้าด้วยเทคนิคอื่นๆ จากเพื่อนที่เป็นตำรวจพลร่ม คือ นรต.ปรีชา สมาธิ แนะนำว่า ถ้าจะให้รองเท้าคอมแบตมันแวววับยิ่งขึ้นไปอีก ต้องใช้วิธีลนด้วยเทียนไข แล้วใช้สำลีชุบน้ำหมาดๆ วนจนรองเท้าเกิดเป็นเงาแวววาว

ซึ่งผมก็ทำตาม และถ้ามีเวลาก็จะใช้วิธีนี้

การขัดรองเท้าพอขัดไปนานๆ ก็เกิดความชำนาญ จนรู้ว่า นอกจากจะต้องเลือกยี่ห้อสำลีแล้ว ยังขึ้นอยู่คุณภาพของหนังที่นำมาตัดรองเท้าด้วย

ยิ่งเป็นหนังที่มีคุณภาพดี จะยิ่งขัดง่ายและเกิดเงาแวววาวสวยงาม

แต่รองเท้าชนิดนี้ราคาจะแพงมาก เมื่อพวกเราเป็นนักเรียนชั้นสูงก็มีการอนุญาตให้ใช้รองเท้าหนังแก้วได้ ซึ่งไม่ต้องขัดด้วยกีวีกับสำลี การขัดรองเท้าช่วยทำให้เวลาแต่งเครื่องแบบมีความสวยงามเป็นระเบียบ

และเมื่อเวลาเข้าแถวรวมกัน ถ้ามีใครถอยหลังมาแล้วเหยียบไปที่หัวรองเท้าของเรา มันเหมือนเหยียบกล่องดวงใจเลย รองเท้าที่อุตส่าห์ขัดมาอย่างดี ถูกย่ำจนเละ แต่ก็รู้ว่าเพื่อนไม่ได้ตั้งใจ

ผมได้เริ่มขัดรองเท้าตั้งแต่เมื่อยังเป็นนักเรียนใหม่ และขัดเรื่อยมา จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตการเป็นตำรวจ ผมจะไม่ใช้ลูกน้องขัดรองเท้า เพราะรู้สึกเกรงใจและไม่เหมาะ รวมทั้งการติดเครื่องหมายบนเครื่องแบบ ผมก็จัดการเองมาตลอดชีวิตการรับราชการ ไม่เคยใช้ลูกน้องทำให้เลย

การติดเครื่องหมายบนเครื่องแบบนักเรียนนายร้อยตำรวจ จะต้องขัดเครื่องหมายเงินให้แวววาว เครื่องแบบจึงจะสง่างาม พวกเราใช้น้ำยาขัดเครื่องหมายเงิน ยี่ห้อ Silvo เป็นน้ำยาอยู่ในกระป๋องสีขาวคาดสีฟ้า

เวลาขัดก็เอาสำลีแตะน้ำยา Silvo นิดหน่อย แล้วนำสำลีมาขัดถูบนเครื่องหมายที่เป็นเงินแท้ รวมทั้งตราหน้าหมวก คาบสกปรกจะหลุดออกหมด เครื่องหมายจะแวววาวสวยงาม

นี่เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่นักเรียนนายร้อยตำรวจต้องเรียนรู้ เพราะทำไม่ถูก เครื่องแบบที่แต่งก็จะไม่สง่างาม

 

ในระหว่างที่ผมกับเพื่อนๆ กำลังนั่งขัดรองเท้าอยู่เพลินๆ ทันใดนั้น นรต.สิทธิโชค บุญญสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้บังคับหมวด กองร้อยที่ 2 ได้แต่งชุดกีฬา สวมหมวกแก๊ปสีเขียว และมีสายรัดคางสีเหลืองคาดบนกะบังหมวก ได้เดินขึ้นมาบนโรงนอนกองร้อยที่ 1 พร้อมกับ นรต.เทศา ศิริวาโท ซึ่งเป็นผู้ช่วย กองร้อยที่ 2 เช่นกัน

เมื่อทุกคนเห็นจึงร้องตะโกนตรง นรต.เทศาได้เดินไปหาและพูดคุยกับ นรต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ ซึ่งอยู่เตียงติดกับผม และสักครู่ นรต.สิทธิโชค บุญญสิทธิ์ ก็เดินมาทางผม ถามผมว่า “นักเรียนใหม่ ผมชื่ออะไร” ผมตกใจและไม่คิดว่าจะถาม จึงตอบไม่ได้

รางวัลที่ผมได้รับจากผู้ช่วยผู้บังคับหมวด กองร้อยที่ 2 คือ ไปคัดชื่อพร้อมนามสกุล รวม 2,000 จบ ฟังไม่ผิดหรอกครับ คัดชื่อสองพันจบ และสิ้นคำสั่ง ผมต้องรีบจัดการให้เสร็จภายในคืนนี้ เพราะพรุ่งนี้ต้องนำไปส่ง

การทำโทษด้วยการให้ดันพื้น หรือกระโดดพุ่งซัดเท้าหลัง ยังดีกว่าการคัดชื่อเป็นไหนๆ

เพราะคืนนั้น ในยามดึก ผมต้องตื่นขึ้นมาคัดชื่อ นรต.สิทธิโชค บุญญสิทธิ์ สองพันจบ กว่าจะครบนานนับเป็นชั่วโมง

และการเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 1 สิ่งที่สำคัญที่จำเป็นเป็นอย่างยิ่ง ที่จะทำให้การใช้ชีวิตในสามพรานไม่ลำบากมากเกินไปนัก นั่นคือ ต้องจดจำชื่อนักเรียนชั้นสูงให้ได้ทุกคน ซึ่งในช่วงเวลานั้น ชั้นปีที่ 4 มีจำนวน 150 คน ชั้นปีที่ 3 มีจำนวน 150 คน ชั้นปีที่ 2 มีจำนวน 200 คน ใครเป็นใคร มีชื่อนามสกุลอย่างไร ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณจดจำให้ได้

มิฉะนั้นแล้ว เมื่อถูกถาม ถ้าตอบไม่ได้ จะถูกทำโทษอยู่ร่ำไป