เศรษฐา เพื่อไทย ‘ผมพร้อมเป็นนายกฯ’

สมรภูมิการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งทั่วไปครั้งประวัติศาสตร์ เดินมาถึงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566

ช่วงนับถอยหลัง อีกไม่กี่วันสู่วันเลือกตั้งนี้เอง “มติชนสุดสัปดาห์” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “เศรษฐา ทวีสิน” หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คนสำคัญของ “เพื่อไทย” พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย

ซึ่งได้รับการคาดการณ์ ยกให้เป็นพรรคเต็ง 1 ที่จะกวาดเก้าอี้ ส.ส.ได้มากที่สุด เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

นั่นยังหมายรวมไปถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ต้องมาจากบุคคลที่เป็น “แคนดิเดต” ของพรรคเพื่อไทยเช่นกัน โดยมีชื่อของ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นหนึ่งในนั้น

เส้นทางการเมืองของนายเศรษฐา ทวีสิน มาบรรจบกับพรรคเพื่อไทย

เริ่มต้นจากวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 นายเศรษฐา ที่ตอนนั้นหลายคนรู้จักในฐานะประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศผ่านบัญชีทวิตเตอร์ว่า “ผมอยู่เพื่อไทยครับ”

ท่ามกลางกระแสข่าวได้รับการวางตัวให้เป็น 1 ในบัญชีชื่อ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคเพื่อไทย

ต่อมาช่วงเทศกาลตรุษจีน 21 มกราคม 2566 นายเศรษฐาได้ปรากฏตัว ควงแขนคู่กับ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นครั้งแรก ในการพบปะประชาชนและรับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการย่านเยาวราช

แต่ที่เป็นจุดเริ่ม “นับหนึ่ง” อย่างเป็นทางการระหว่าง “เศรษฐา” กับ “เพื่อไทย” คือวันที่ 1 มีนาคม

โดยนายเศรษฐาเดินทางเข้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย พร้อมการแถลงข่าวของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

แต่งตั้ง “เศรษฐา” เป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งเป็นตำแหน่งของ “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร”

“นายเศรษฐา ถือเป็นบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นผู้ประกอบการธุรกิจซึ่งเป็นที่ยอมรับของสาธารณชน โดยนายเศรษฐาจะเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการพิจารณาเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ทางการเมืองของพรรค เน้นด้านเศรษฐกิจ ที่เน้นในเรื่องประเด็นเศรษฐกิจ ทำงานร่วมกับคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย” นพ.ชลน่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุ

วันที่ 10 มีนาคม สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานว่า นายเศรษฐา กรรมการ/กรรมการผู้จัดการใหญ่ และรองประธานกรรมการบริหาร บมจ.แสนสิริ หรือ SIRI

ได้โอนหุ้นทั้งหมดจำนวน 661,002,734 หุ้น หรือคิดเป็น 4.44% ของทุนจดทะเบียน ให้แก่ ชนัญดา ทวีสิน บุตรสาวที่บรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อวันที่ 8 มีนาคม โดยระบุว่าเป็นการโอน “โดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทน”

นายเศรษฐากล่าวว่า เหตุที่ต้องก้าวออกจากวงการธุรกิจแล้วมาทำงานเพื่อบ้านเมือง เพราะอยากเห็นประเทศชาติมีอนาคต มีแสงสว่างที่ดี นำพาลูกหลานไปสู่อนาคตที่สดใส

บทบาททางการเมืองของ “เศรษฐา ทวีสิน” กับพรรคเพื่อไทย ได้รับการปรับโฟกัสให้คมชัดมากขึ้น

วันที่ 5 เมษายน 2566 พรรคเพื่อไทยยื่นบัญชีบุคคลที่จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 3 รายชื่อ ต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

ประกอบด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลำดับที่ 1, นายเศรษฐา ทวีสิน ลำดับที่ 2 และ นายชัยเกษม นิติสิริ ลำดับที่ 3 ก่อนที่เย็นวันเดียวกัน พรรคเพื่อไทยจัดงานเปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ ที่ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม เมืองทองธานี

นับจากเปิดตัวในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นำทัพผู้สมัคร ส.ส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกเดินสายปราศรัยหาเสียง พบปะประชาชนหลายจังหวัดในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เป็นเวลา 2 เดือนเศษ

กระทั่งเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม

“มติชนสุดสัปดาห์” มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษนายเศรษฐา ทวีสิน หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คนสำคัญของพรรคเพื่อไทย ใน 4 ประเด็นคำถามเปิดใจ ดังนี้

: ถึงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งแล้ว จากการลงพื้นที่ มั่นใจว่าถึงเป้าหมายแลนด์สไลด์หรือไม่

มั่นใจครับ ผมมั่นใจว่าประชาชนจะให้ความไว้ใจพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมได้เห็นความนิยมของทั้ง ส.ส.เขตและพรรคเพื่อไทยในทุกๆ ที่

จากการไปลงพื้นที่ในตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา พี่น้องหลายคนมีความคับแค้นใจ มีแววตาที่สะท้อนความทุกข์จากรัฐบาลช่วงที่ผ่านมา

หลายคนบ่นถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้นมาก รายได้ก็ไม่ดี แล้วมีปัญหายาเสพติดที่หลายชุมชนต่างประสบปัญหา ผมและพรรคเพื่อไทยเลยมั่นใจว่านโยบายของเราจะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประชาชนไว้วางใจพรรคเพื่อไทย คือ เรามีประสบการณ์ เราทำเป็น ตั้งแต่สมัยไทยรักไทยที่ทำนโยบาย 30 บาท จนกระทั่งค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ผมว่าประชาชนไม่มีใครไม่เชื่อนะ ว่าอันนั้นคือฝีมือของพรรคเรา

พอเราออกนโยบาย 600 บาท หรือนโยบายเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย พี่น้องประชาชนที่ผมไปเจอ ไปลงพื้นที่มา ไม่มีใครถามเลยว่าทำได้มั้ย มีแต่เอาใจช่วยขอให้เราได้เป็นรัฐบาล เพื่อไปทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นจริงๆ

 

: เป้าได้ ส.ส.เข้าสภาเท่าไหร่ ประมาณ 250 ที่นั่งหรือมากกว่านั้น และน่าจะถึงเป้าดังกล่าวหรือไม่

เป้าหมายผมมากกว่า 250 ไปอีกเยอะครับ ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่เป้าหลอก แม้ว่าหลายสำนักประเมินไว้ว่าปัจจุบันน่าจะเกิน 250 แล้ว ซึ่งเป็นเป้าที่ปกติควรจะสบายใจกันได้แล้ว หลายคนก็เรียกว่าแลนด์สไลด์ไปละ

แต่สไตล์การทำงานผมไม่ใช่ ผมยังวางใจไม่ได้ พรรคเพื่อไทยต้องได้มากกว่านั้น

พวกเราทุกคนต้องทำงานกันอย่างหนักอยู่ ตัวผมเองก็ยังต้องไปเผยแพร่นโยบายของพรรค รับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ผมเองก็ยังมีตารางลงพื้นที่อีกหลายจังหวัดจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง

ผมตั้งใจที่จะแลนด์สไลด์เพื่อประชาชนจริงๆ เพื่อเวลาจะดำเนินนโยบายอะไรให้กับพี่น้องประชาชน เราจะได้ทำได้โดยไม่มีข้อติดขัด และเราแลนด์สไลด์ หนึ่งในนโยบายคือเราจะทำให้ประชาธิปไตยกลับมาเป็นของพี่น้องประชาชนอีกครั้งนึง เอากลไกที่สืบทอดมาจากสมัยรัฐประหารออกไป

: คุณเศรษฐาพร้อมหรือยังในการเป็นนายกฯ คนที่ 30

ผมว่าการเป็นนายกฯ คือการที่จะไปช่วยเหลือประชาชน พัฒนาประเทศ ฉะนั้น ผมก็พร้อมที่จะไปทำหน้าที่ตรงนั้น พร้อมที่จะไปทำความหวังของพี่น้องให้เป็นจริง

ยิ่งหลังจากที่ได้ไปลงพื้นที่มาตลอดช่วง 2 เดือนกว่าที่ไปเจอพี่น้องประชาชน ผมได้ไปฟังปัญหามาด้วยตัวเอง ทำให้เราเข้าใจปัญหาว่าพี่น้องเขาเจออะไรหลายๆ อย่างก็ไม่อยู่ในข่าว ถ้า (ผู้นำ) ไม่ลงพื้นที่ ไปเข้าใจปัญหาด้วยตัวเอง ผมว่าคงแปลกที่ขอจะอาสามาทำงานเพื่อประชาชน

อีกอย่างหนึ่ง ประสบการณ์ในภาคธุรกิจกว่า 30 ปี ก็ช่วยให้ผมเห็นภาพว่า “ถ้าหาก” ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ผมจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรบ้าง

แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราต้องการการสนับสนุนจากทีมงานอีกมาก เพราะผมเองไม่ได้มีประสบการณ์ทางการเมือง ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับพรรคเพื่อไทย ที่มีประสบการณ์ความสำเร็จในอดีตมา มีโครงสร้างการบริหารที่แข็งแกร่ง มีบุคลากรในพรรคและ ส.ส.ที่มีความรู้ความสามารถ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินนโยบายให้สำเร็จ

สุดท้าย นโยบายเราก็พร้อมเช่นกัน ผมและพรรคเพื่อไทยคิดนโยบายมาจำนวนไม่น้อย ที่เห็นเปิดตัวหลักๆ ไม่กี่อันนั้น เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง นโยบายของพรรคเรา ผมมั่นใจเรื่องของประโยชน์ที่ทำให้พี่น้องประชาชน

และอยากให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า เราคิดใหญ่ทุกอันและทำเป็น ทุกอย่างอยู่ภายใต้โรดแม็ป ที่พรรคเพื่อไทยอยากจะทำเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยอีกครั้ง

 

: บทบาทการนำพรรคเพื่อไทยในวันนี้ เห็นชัดว่าเป็นแคนดิเดตเบอร์ 1 ของเพื่อไทยใช่หรือไม่

ผมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมที่จะนำพรรคเพื่อไทยไปคว้าใจประชาชนคนไทยทุกคน ผมเลยเดินทางไปทุกภูมิภาคเพื่อไปเผยแพร่นโยบายของพรรคให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ

ผมพูดมาตลอดว่า ผมอาสาเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะผมอยากเป็น “นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย” ไม่ได้อยากเป็นนายกรัฐมนตรีแค่ในนาม

แต่ผมอยากเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลง

ตั้งใจที่จะมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้ประเทศไทยเป็นสถานที่ที่ลูกหลานของพวกเราภูมิใจ รู้สึกมีศักดิ์ศรีที่จะเป็นส่วนหนึ่ง และทำให้พี่น้องประชาชนได้มีประชาธิปไตยที่แท้จริงอีกครั้ง

ฉะนั้น ถ้าพี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจกับพรรคเพื่อไทย ให้ฉันทามติกับพวกเรา

“ผมก็พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชน เพื่อ (คน) ไทยทุกคนครับ”

 

นายเศรษฐา ทวีสิน ไม่เพียงเป็นผู้นำในการประกาศนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่สร้างกระแสยึดพื้นที่สื่อ และเวทีดีเบตนโยบายพรรคการเมืองมาถึงปัจจุบัน

ในทางการเมือง นายเศรษฐายังเป็นบุคคลระดับแกนนำเพื่อไทยคนแรก ที่ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า จะไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ

การทิ้งวงการธุรกิจระดับหมื่นล้าน หันเหเข้าสู่วงการการเมือง ก้าวแรกในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พร้อมกับจุดยืนที่อยากเห็นประเทศชาติมีอนาคต มีแสงสว่างที่ดี นำพาลูกหลานไปสู่อนาคตที่สดใส

ทุกอย่างจะเป็นจริงหรือไม่ ผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม จะเป็นคำตอบสำคัญ