The Strokes วงที่ทำให้ ‘การาจ ร็อก’ สำแดงเดชไปทั่วโลก เตรียมมาเล่นสดครั้งแรกในไทย

บทความพิเศษ | ศรัณยู ตรีสุคนธ์

 

The Strokes

วงที่ทำให้ ‘การาจ ร็อก’ สำแดงเดชไปทั่วโลก

เตรียมมาเล่นสดครั้งแรกในไทย

 

ในระหว่างการสนทนาเรื่องวงการดนตรีกับคุณสุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์ อดีตผู้บริหารค่ายเบเกอรี่ มิวสิค เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว

คุณสุกี้เปรยๆ ขึ้นมาว่านับตั้งแต่อัลบั้ม Nevermind ของวง Nirvana ที่วางจำหน่ายในปี 1991 เป็นต้นมายังไม่มีอัลบั้มชุดไหนเลยที่มีอิทธิพลสูงถึงขั้นเปลี่ยนโฉมหน้าวงการดนตรีร็อกร่วมสมัยได้มากเท่ากับ Is This It สตูดิโออัลบั้มชุดแรกของวง The Strokes ที่วางจำหน่ายอีก 10 ปีให้หลัง

ซึ่งตัวผมเองก็เห็นพ้องต้องกัน

คำถามก็คือ แล้วอะไรกันล่ะที่ทำให้งานเพลงชุดแรกของวงดนตรีจากนครนิวยอร์กวงนี้สั่นสะเทือนวงการได้มากขนาดนั้น

 

ข้อสังเกตอย่างแรกก็คือ The Strokes เป็นผู้นำดนตรีแนว “การาจ ร็อก” ให้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง

ดนตรีร็อกแนวนี้มีโครงสร้างคอร์ดที่เรียบง่ายและใช้เอฟเฟ็กต์กีตาร์ไฟฟ้าไม่มากนักอย่าง Distortion หรือ Fuzzbox เพื่อให้เสียงแตกเล็กน้อย

ส่วนเนื้อหาของบทเพลงมักเป็นการระบายความโกรธขึ้งที่อยู่ภายใน และด้วยดนตรีที่เล่นเพียงไม่กี่คอร์ดในแบบพังก์ ร็อก ซึ่งทำให้เด็กวัยรุ่นเล่นกันได้ไม่ยาก และสามารถใช้โรงรถที่บ้านเป็นสถานที่สำหรับซ้อมดนตรีกันได้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของดนตรีการาจ ร็อก ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า “ดนตรีร็อกที่เล่นกันในโรงรถ”

รากฐานจริงๆ ของดนตรีแนวนี้ก็คือ ร็อก แอนด์ โรล และ The Strokes นำการาจ ร็อก ที่ถือเป็น “วัฒนธรรมย่อย” ของร็อก แอนด์ โรล มาบิดโครงสร้างและวิธีการนำเสนอให้เป็นแบบฉบับของตัวเองในยุคที่ดนตรีนู เมทัล กำลังอยู่ในจุดที่ป๊อปปูลาร์ที่สุดจากการมาถึงของอัลบั้ม Hybrid Theory ของวง Linkin Park และ White Pony ของวง Deftones ที่ต่างก็วางจำหน่ายในปี 2000 ผ่านอัลบั้ม Is This It ที่เล่นคอร์ดวนง่ายๆ แค่ไม่กี่คอร์ด และจังหวะกลองรวมถึงเบสที่เล่นแบบคุมจังหวะไปเรื่อยๆ

แน่นอนว่าสไตล์การทำเพลงเรียบๆ แบบนี้ไม่มีทางที่จะสร้างเอกลักษณ์ใดๆ ให้กับวงได้ แต่ The Strokes ได้ใส่ทำนองเพลงป๊อปจากเมโลดี้กีตาร์คู่ที่สวยงามติดหูเข้ามาผสมกับซาวด์กีตาร์ที่หยาบกร้านได้อย่างลงตัวน่าฟัง

นอกจากนี้ แฟชั่นการแต่งตัวของสมาชิกวงแต่ละคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จูเลียน คาซาบลังกาส์ นักร้องนำก็ได้เปลี่ยนโฉมหน้าวัฒนธรรมแฟชั่นร็อก แอนด์ โรล ร่วมสมัยได้ในแบบที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง

 

สุราหรือไวน์รสเลิศต้องการเวลาในการบ่มเพาะ

อัลบั้ม Is This It ก็เช่นกัน งานเพลงในแนวการาจ ร็อก ที่ผสมผสานดนตรีโพสต์-พังก์ (พังก์ ร็อก ที่นำดนตรีแนวอื่นๆ อย่าง นิว เวฟ, ดนตรีเต้นรำ, ดิสโก้ หรือแม้กระทั่งแจ๊ซมาประยุกต์เข้ากับสไตล์ดนตรี) ที่ The Strokes ทำในอัลบั้มชุดนี้ยังถือว่าใหม่มาก

ส่งผลให้อัลบั้มชุดนี้มียอดขายสัปดาห์แรกในอเมริกาเพียง 16,000 ก๊อบปี้เท่านั้น

ยังไม่รวมถึงปัญหาต่างๆ อื่นๆ ที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นภาพหน้าปกอัลบั้มที่มีกระแสต่อต้านว่ามันสื่อถึงเรื่องเพศอย่างชัดเจนเกินไป

และถึงแม้ว่าอัลบั้มจะวางจำหน่ายไปตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้วก็ตาม แต่อัลบั้มในรูปแบบคอมแพ็กดิสต์ที่จะวางจำหน่ายตามมาทีหลังกลับต้องถูกเลื่อนการจำหน่ายจากเดือนกันยายนไปเป็นเดือนตุลาคมแทน เนื่องจากนิวยอร์กประสบเหตุก่อการร้ายที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง 9/11

ส่งผลให้ทางค่ายเพลง RCA จำต้องตัดเพลง New York City Cops ออกและใส่เพลงใหม่อย่าง When It Started เข้ามาแทน

แต่อุปสรรคทั้งหมดนี้ไม่อาจหยุดรั้งความสำเร็จในระดับปรากฏการณ์ของอัลบั้ม Is This It ที่เหมือนฟ้าลิขิตเอาไว้แล้วได้เลย

ส่งผลให้ Last Nite, Hard to Explain และ Someday สามซิงเกิลแรกกลายเป็นเพลงฮิตที่หยุดไม่อยู่และถูกเปิดในแทบทุกปาร์ตี้ในยุคนั้น

ส่วนยอดขายอัลบั้มหากนับจนถึงปัจจุบันก็อยู่ในระดับมากกว่าล้านก๊อบปี้เฉพาะในอเมริกาประเทศเดียว

และมันก็เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหราชาณาจักร

 

เดบิวต์อัลบั้มของวง The Strokes ทำให้กระแสดนตรีแนวแดนซ์ พังก์ ซึ่งเป็นแนวย่อยของดนตรีโพสต์-พังก์ ที่นำดนตรีเต้นรำยุค 70 อย่างดิสโก้, พังก์ และนิว เวฟ แบบวง Blondie, Iggy Pop และ Talking Heads มีพื้นที่ให้หยัดยืนอย่างไม่เคยมีมาก่อน

โดย เจมส์ เมอร์ฟีย์ ฟรอนต์แมน วง LCD Soundsystem ได้กล่าวว่า “สำหรับผมแล้ว Is This It ถือเป็นอัลบั้มแห่งทศวรรษ”

ในขณะที่ แบรนดอน ฟลาวเวอร์ นักร้องนำวง The Killers บอกว่าเขาถึงกับรู้สึกหดหู่ไปเลย อย่างไรน่ะหรือ? นี่คือคำกล่าวจากปากเขาเอง

“Is This Is เป็นอัลบั้มที่สมบูรณ์แบบเกินไป มันดีจนถึงขั้นที่ทำให้เราจำเป็นต้องรื้อทุกเพลงในอัลบั้ม Hot Fuzz ที่เรากำลังทำอยู่ในตอนนั้นใหม่ทั้งหมดเพื่อให้มันดีขึ้นกว่าเดิมให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และ Mr. Brightside ก็เป็นเพลงเดียวจากอัลบั้มชุดนั้นที่ไม่ได้ถูกตัดออกไป”

การาจ ร็อก มีมาตั้งแต่ยุค 60 ด้วยวงที่ได้วางรากฐานสำคัญให้กับดนตรีแนวนี้อย่าง MC5 และเพลง Kick Out the Jam รวมถึงวงอย่าง The Sonics มาจนถึงวงการาจ ร็อก ร่วมสมัยอย่าง The Hives

แต่สิ่งที่ทำให้ดนตรีร็อกแบบเรียบๆ ของวง The Strokes ดูเท่ดูดีมีสไตล์ขึ้นมาได้และยกระดับดนตรีแนวนี้ให้กลายเป็น “ซาวด์แทร็กของวงการเพลงร็อกในเกือบทั้งทศวรรษแรกของยุค 2000” ก็คือไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์ในการทำเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ของวงจริงๆ ไปจนถึงแฟชั่นที่นำกางเกงยีนส์สกินนี่, เสื้อหนังและทรงผมสุดเซอร์จากยุคบุปผาชนที่ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญเกินไปกว่าเสรีภาพทางจิตวิญญาณให้กลับมามีชีวิตได้อย่างมีชีวาอีกครั้ง

ซึ่งร็อกสตาร์แห่งวงการเพลง กรันจ์ และสโตนเนอร์ ร็อก หลายคนต่างก็ยกย่อง The Strokes ไม่ว่าจะเป็น เอ็ดดี เว็ดเดอร์ แห่งวง Pearl Jam, จอช ฮอมม์ แห่งวง Queens of the Stone Age ไปจนถึงวง Franz Ferdinand

และ อเล็กซ์ เทอร์เนอร์ แห่งวง Arctic Monkeys ที่ถึงขั้นบอกว่าอยากอยู่ในวง The Strokes ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อเพลงของวงอย่าง Star Treatment

 

หลังจาก Is This It วง The Strokes มีอัลบั้มตามออกมาอีก 5 ชุดด้วยกันคือ Room on Fire (2003), First Impressions of Earth (2005) ที่มีเพลงโคตรเจ๋งอย่าง You Only Live Once, Angels (2011), Comedown Machine (2013) และ The New Abnormal (2020)

ทุกชุดเป็นงานเพลงร็อกที่ดีและมีการลดความดิบในแบบดนตรีการาจ ร็อก และโพสต์-พังก์ ลงและนำดนตรีอินดี้ ร็อก ร่วมสมัยเข้าแทนที่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอัลบั้มไหนที่จะสามารถปลุกกระแสหรือว่าดีเทียบเท่ากับอัลบั้ม Is This It ได้เลย แต่งานเพลงทุกชุดของวงก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางดนตรีและยังคงไว้ซึ่งไอเดียที่ทำให้ดนตรีร็อกที่เรียบง่ายโดดเด่นได้ด้วยลูกเล่นที่แพรวพราวอยู่เสมอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และนิวเวฟมาเป็นแนวดนตรีหลักในการทำเพลงในอัลบั้มชุด The New Abnormal ที่ทำออกมาได้ดี

จนถึงขั้นคว้ารางวัล Best Rock Album จากงานมอบรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 63 มาครองได้

 

นอกจากสตูดิโออัลบั้มที่รักษามาตรฐานไม่ให้ตกได้ดีทุกชุดแล้ว The Strokes ยังขึ้นชื่อในเรื่องการแสดงคอนเสิร์ตอีกด้วย

ทางวงมักจะได้เล่นเป็นศิลปินเฮดไลน์ในเทศกาลดนตรีระดับแถวหน้าของโลกอยู่บ่อยครั้ง

โชว์ของวง The Strokes ขับเคลื่อนดนตรีวิถีแห่งดนตรีพังก์, งดงามด้วยดนตรีป๊อปที่รับช่วงต่อจากดนตรีบริตป๊อป ในช่วงปลายยุค 90

และที่สำคัญที่สุดก็คือการแสดงสดด้วยจิตวิญญาณที่ยังคงความเยาว์วัยอยู่เสมอของสมาชิกวงทุกคน ไม่ว่าจะเป็น จูเลียน คาซาบลังกาส์ (ร้องนำ), นิก วาเลนซี (กีตาร์), อัลเบิร์ต แฮมมอนด์ จูเนียร์ (กีตาร์ริธึ่ม), นิโคไล ไฟรเจอร์ (เบส) และ ฟราบริซิโอ โมเรตติ (กลอง)

The Strokes กำลังจะมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในวันที่ 18 กรกฎาคมปีนี้ที่ธันเดอร์ โดม เมืองทองธานี (จัดโดย VIJI CORP)

โดยบัตรโซนยืนราคา 3,500 บาทขายหมดทุกใบทันทีที่เปิดขายในวันแรก

ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีแฟนเพลงชาวไทยจำนวนมากแค่ไหนที่รอชมโชว์ของวงร็อกสุดเท่ตลอดกาลวงนี้

ใครเป็นแฟนเพลงวงนี้บอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่าห้ามพลาดชมด้วยประการทั้งปวงจริงๆ