การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ – โดยแผ่วเบา ฉันจรดเท้าเข้าไปหา

เป็นความอิ่มเอมใจเหลือเกิน กับการได้นอนอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ ไม่มีใครมารบกวน

กลิ่นกระดาษหอมยิ่งนัก ฉันยกขึ้นสูดดมตั้งหลายที มันมีกลิ่นฉุนๆ ของอะไรสักอย่าง อาจเป็นกลิ่นของน้ำหมึกพิมพ์ แต่ไม่นึกจะรังเกียจมันเลย

ทุกตัวหนังสือตั้งแต่หน้าปก บทบรรณาธิการ ไล่ไปทุกๆ หน้า ฉันอ่านมันทุกคำ ทุกวรรค ทุกบรรทัดก็ว่าได้ ไม่มีหน้าไหนจะคลาดสายตา เรื่องราวที่น่ารู้ของดาราคนดัง ภาพแฟชั่นหน้าสีสดใส บทกลอนเพียงความในใจจากคนอ่านมากมาย ฯลฯ ล้วนเต็มไปด้วยมนต์ขลังตราตรึงใจ

พี่โฟนั้นคงจะรำคาญฉันเหมือนทุกที แต่ก็นอนหันหน้าเข้าผนังเสีย เอ่ยปากแค่ว่า ระวังจะเปลืองค่าไฟ

แต่ฉันคิดเอาไว้แล้ว จึงปิดไฟนีออนเสียให้แล้วเรื่อง จุดเทียนขี้ผึ้งเล่มเล็กๆ แทน

เท่านั้น โลกที่สวยงามก็ค่อยๆ กลับมาหาฉันอีกครั้งหนึ่ง

 

มันเป็นความรู้สึกแบบไหนกันนะ ที่ตื่นมาในอีกวัน แล้วฉันรู้สึกว่าชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อได้ยินพี่โฟพูดว่า “มึงก็ระวังตัวดีๆ ล่ะ อย่าไปทำข้าวของเขาเสียหาย ไม่มีเงินใช้เขาจะจับเอาเข้าคอก” ก็ไม่นึกโกรธอะไร ตัวพี่โฟเองใช่จะเห็นเสียหน่อยว่า “ที่ทำงานใหม่” ของฉันหน้าตาเป็นยังไง

เดินเลาะเลียบไปตามทางเท้า ในตอนรุ่งเช้า ตั้งแต่ยังไม่มีแสงแดดเลยแม้แต่น้อย กระทั่งมันค่อยๆ อาบแสงลงมา ฉันคิดเอาไว้อีกเช่นกันว่า ถ้าเดินไปทำงานจะประหยัดเงินค่ารถได้อีกหลายบาท

ผ่านต้นดอกคูนร่มรื่น ฉันจำเปลือกและใบมันได้ ไปจนถึงใต้ร่มพิกุล เลยไปอีก มีหางนกยูงขึ้นใกล้คูเมือง ฉันเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย มีเมื่อยขาบ้าง แต่หยุดพักสักครู่ก็ไปได้ต่อ

ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น มีพระออกมาเดินเรียงแถวบิณฑบาตกันด้วย ผ่านช่วงถนนว่างๆ เข้าสู่ย่านเริ่มจอแจ ผู้คนมากมายปรากฏตัวขึ้นเหมือนภาพวาดที่มีชีวิต

หนังสือ “วัยหวาน” มันมีความวิเศษอะไรกันหนอ ทำให้ฉันรู้สึกแช่มชื่นได้ถึงเพียงนี้ หรือเพราะว่าวันนี้ฉันรู้ดีว่า จะได้ไปเจอหนังสือเล่มอื่นๆ อีก

ชายเจ้าของร้านกำลังเปิดประตูพับพอดี ตอนที่ฉันเดินข้ามถนนมาถึง

 

“ตอนนี้กี่โมง?” แต่นั่นคือคำทักทาย

ฉันหน้าเจื่อนไปทันที และเบื้อใบ้ในฉับพลันเพราะไม่มีนาฬิกา ก่อนออกมาจากหอพัก ก็แน่ใจแล้วว่า ฉันไม่น่าจะถึงสาย

กำลังอึกอักอยู่ ชายมีเคราก็ตัดบทว่า

“วันหลังไม่ต้องมาเช้าขนาดนี้ สายอีกหน่อยก็ได้ ยังไม่เจ็ดโมงเลย”

ฉันอึ้งไปอีกรอบเพราะความคาดไม่ถึง

“…ร้านก็เปิดแล้วไม่ใช่เหรอ”

“อือ” ชายเจ้าของร้านพยักหน้า “แล้วกินอะไรมาหรือยัง”

ฉันเงียบ เพราะไม่ได้คิดเรื่องอาหารมาก่อนเลย

“ยัง…ไว้กินตอนเที่ยงก็ได้ ยังไม่หิว”

“งั้นมาช่วยยกของทางนี้” มือกวักเรียก

“เอาโต๊ะตัวนี้ออกไปกางวางตรงนั้น”

พร้อมกับการออกคำสั่ง นายจ้างคนใหม่ของฉันก็ชี้ไปยังโต๊ะไม้พับที่วางข้างซอกตู้

“มันกางขาได้ ไหวมั้ย”

“ไหว” ฉันตอบ และพยายามใช้แขนเพียงข้างเดียวให้เต็มที่

แต่ผ่านไปหลายนาที ฉันก็ยังอยู่ที่เดิมกับโต๊ะที่หนักกว่าที่คิด

“ไงล่ะ ไหนว่าไหว” พูดพลาง ร่างสูงก็เดินเข้ามา คว้าโต๊ะออกไปกางแทน จากนั้นก็หิ้วเก้าอี้อีกสองตัวไปตั้ง

“เอาละ ทีนี้ดูว่าจะกินอะไรกัน”

พูดจบก็เดินกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง ยินเสียงกุกกักอยู่ด้านใน ฉันไม่กล้าจะเดินตามเข้าไป และยังไม่รู้ว่าควรจะหยิบจับอะไรตรงไหน ดูเหมือนเริ่มต้นก็จะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

ไม่ทันไร ฉันคล้ายจะไร้ประโยชน์เสียแล้ว

ใจเริ่มกังวลขึ้นมา…ถ้าแขนยังเข้าเฝือกอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าคงจะโดนไล่ออกจากงานแน่

ยืนกระวนกระวายใจอยู่ ก็ได้ยินเสียงเรียก

“มาช่วยถือของที”

รีบขยับตัวทันที มีของสองสามอย่างอยู่ในจานใบใหญ่ แต่ยื่นมือรับ กลับได้เป็นผ้าผืนหนึ่ง

“ปูเลย”

ฉันเข้าใจแล้ว นายจ้างกำลังจะนั่งกินข้าว รีบสลัดผ้าสีตุ่นๆ เข้าคลุมโต๊ะ ไม่นานต่อมา ก็มีของลำเลียงลงมา ได้กลิ่นหอมๆ คุ้นจมูกพุ่งมา

กาแฟ…

 

“เอ้า นั่ง”

ฉันยังยืนงงอยู่ จนเมื่อเจ้าของร้านพูดซ้ำสอง

“นั่งสิ จะยืนอยู่ทำไม”

“…จะให้ฉันทำอะไรบ้าง”

“นั่งก่อน”

อย่างงุนงง แกมความไม่สบายใจ ฉันหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นั่งขนานกับฟุตปาธถนน

“เคยกินกาแฟหรือยัง”

“…เอ้อ…ก็เคย”

“โตแล้วนี่นะ กินได้แหละ เอ้า สักนิดหน่อย”

น้ำสีน้ำตาลเข้มจากเหยือกสีเงินมีพวยปากแหลมๆ เทลงมาสู่แก้ว ไอร้อนลอยขึ้นเป็นสาย ในไม่ช้า ก็มีน้ำกาแฟอยู่ในแก้วสองใบ

“นม น้ำตาล…ทำเอาเอง”

มีแก้วใส่นมสีขาวสะอาด กับน้ำตาลเป็นเกร็ดๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“อันนี้ไส้หมูหยอง อีกอันไส้อะไรไม่รู้ เอาอันไหน”

มีขนมปังก้อนกลมๆ อีกสองถุงส่งมาให้

“หยิบเลย”

เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย จะปฏิเสธก็กลัวนายจ้างคนใหม่จะไม่พอใจ จึงตัดสินใจหยิบมาก้อนหนึ่ง

“คนเขาให้มาน่ะ อร่อยดีอยู่”

“ขอบคุณ…ฮะ”

นายจ้างมองหน้า แต่ก็แค่เลิกคิ้ว ไม่ได้ว่าอะไร

 

ฉันไม่คิดมาก่อนว่า จะได้มีโอกาสนั่งกินกาแฟกับขนมปังอยู่หน้าร้านหนังสือ มองเข้าไปข้างใน เห็นแต่สันหนังสือมากมายเต็มไปหมด ขณะเดียวกัน อากาศข้างหน้าร้านก็แสนสดชื่นยิ่งนัก จากที่เดินมาเหนื่อยๆ ฉันรู้สึกอุ่นวาบลงถึงกระเพาะเมื่อน้ำกาแฟผ่านลงไป

เพราะยังไม่กล้าทำอะไรมาก จึงได้แต่เติมน้ำตาลช้อนหนึ่ง เหยาะนมนิดหน่อย กาแฟหอมมาก แต่ก็ขมจนแทบจะกลืนไม่ลง พยายามกลืนเข้าไป บิขนมปังเข้าปากตาม รู้สึกฝืดคอจึงจิบน้ำกาแฟอีกทีหนึ่ง

น่าประหลาดเหลือเกิน ทั้งๆ ที่คิดว่ากาแฟขมสิ้นดี แต่อย่างช้าๆ ที่ลิ้นก็รับรสได้มากขึ้นเรื่อยๆ รู้ตัวอีกครั้งฉันก็กินไปแล้วเกือบหมดแก้ว แถมขนมปังหนึ่งก้อนลงท้องไปจนหมดสิ้น

“ไม่อิ่มก็เอาอีก” มือผลักถุงขนมมา

“ไม่ละ…ฮะ” รีบปฏิเสธ และคิดว่าควรจะต้องแสดงความตั้งใจให้มากที่สุด “จะให้ทำอะไรบ้าง พี่บอกมาเลย”

“ผมชื่อริ” ชายเจ้าของร้านพูดขึ้น ซึ่งฉันอดสะดุดหูไม่ได้

คนที่อายุมากกว่า และกำลังอยู่ในฐานะนายจ้างคนใหม่ พูดคำว่า “ผม” กับฉัน ไม่เท่านั้นยังเรียกฉันว่า…คุณ

“เออ แล้วคุณชื่ออะไร”

 

ฉันไม่รู้ว่าชายมีเคราใช้เวทมนตร์อันใด จากคำถามง่ายๆ กลับทำให้ฉันเปิดปากออกไปได้ทีละน้อย จากเรื่องหนึ่งสู่เรื่องหนึ่ง ดูเหมือนคนถามจะมีความเฉลียวฉลาดมาก ทั้งที่ดูจะฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ ถามบ้างเป็นครั้งคราว สุดท้ายฉันก็พบว่าตัวเองได้บอกความในใจหลายอย่าง

อยากเก็บเงิน ยังไม่อยากกลับบ้านเกิด อยากจะตั้งตัวให้ได้…

แต่มีอยู่อย่างที่ยังไม่กล้าเอ่ยออกไป

ที่อยากจะ…เขียนเรื่องส่งไปลงหนังสือบ้าง

“ดีสิ ชอบอ่านหนังสือ” ชายคนนั้นพูด “ปกติชอบอ่านแนวไหน”

ฉันตอบไม่ถูก เพราะอะไรก็ได้ แค่มีให้อ่านก็พอ

กลืนขนมปังคำสุดท้าย แสงแดดเริ่มแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่เห็นมีใครเข้ามาในร้านนี้เลยสักราย ตัดสินใจ

จนเห็นกาแฟของอีกฝ่ายหมดแก้วแล้วเช่นกัน จึงกลั้นใจถามขึ้น

“แล้ว…ในร้าน พี่ให้เช่าเล่มละเท่าไหร่”

“ส่วนใหญ่ก็สองบาท ถ้าไม่วางบัตรก็มัดจำครึ่งหนึ่งของราคาหนังสือ”

ฉันคำนวณเงินที่จะได้ต่อวันทันที มีความหวังวูบวาบขึ้นในใจ…ถ้า…จะพอเช่าได้สักวันละเล่ม

“มีทุกแนวเลยเหรอ”

“ไม่หรอก” ชายมีเคราส่ายหน้า “มีแต่แนวที่ผมชอบเท่านั้นล่ะ แต่ก็พอมีหลายชั้นที่เป็นหนังสือของคุณป้า”

กาแฟกับขนมช่างอร่อยจนล้นเหลือ ฉันรู้สึกอิ่ม ผ่อนคลาย ไม่เหมือนการไปทำงานที่ไหนๆ มาก่อนเลย มองผ่านไหล่เจ้าของร้านเข้าไปในห้องด้านใน มีแสงแดดผ่านหน้าต่างเข้ามาตกกระทบบนชั้นไม้ หนังสือเล่มหนาๆ มากมายเบียดเสียดกันอยู่ดุจดั่งความฝัน

โอ ฉันรักช่วงเวลาขณะนี้เหลือเกิน ฉันรักมันจริงๆ การได้กินน้ำกาแฟขมปนหวาน กัดขนมปังนิ่มๆ กลืนลงคอ รู้ว่าถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง…ครบอาทิตย์ก็จะได้เงินอีกร้อยยี่สิบบาท และถ้าฉันจะยืมหนังสือกลับไปอ่าน ก็ยังมีความหวัง…

ความหวัง…ทำไมจู่ๆ ฉันรู้สึกใจฟูเต็มตื้นขึ้นมากับคำที่เคยเหือดหายไป…ไม่น่าเชื่อเลย ฉันกำลังจะมีชีวิตใหม่จริงๆ หรือนี่

“วันธรรมดา คนจะเข้าร้านกันตอนเย็นๆ” ชายเจ้าของร้านพูดอีก “ไปเช็ดๆ ฝุ่นข้างในก่อนก็ได้”

“…พี่…เอ้อ แล้วคุณจะเฝ้าหน้าร้านเองเหรอ…ฮะ”

ฉันไม่แน่ใจว่า ควรจะลงท้ายคำว่าอะไร ปากไม่คุ้นเคยกับคำว่าคะค่ะเอาสักนิด

“ไม่ต้องเฝ้าหรอก คนมาก็เห็นเอง เดี๋ยวผมจะงีบสักหน่อย คุณดูไปแล้วกัน”

แปลกอีก ฉันยังไม่เคยเจอคนที่ตื่นมากิน เพื่อจะนอนต่อเลยทันทีแบบนี้ แต่ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ลุกจากเก้าอี้หัวกลมหน้าร้าน เข้าไปเอนตัวกับเก้าอี้ยาวข้างหน้าต่างด้านใน แล้วผู้ชายตัวผอมบาง ผิวขาว มีหนวดเคราเกือบยาวก็หลับตาลง

ฉันเพิ่งสังเกตว่าวันนี้เขาไม่ได้มวยผม แต่เป็นการถักเปีย

…ริ…คนอะไรชื่อแปลกดี เพียงคำเดียวสั้นๆ หรือมาจากคำอื่นอีกหนอ

โดยแผ่วเบา ฉันจรดเท้าเข้าไปหาชั้นหนังสือสูงใหญ่ ตั้งใจจะทำงานให้เต็มที่ ฉันจะต้องทำงานครั้งนี้ให้ดีที่สุด