เครื่องเคียงข้างจอ วัชระ แวววุฒินันท์ / เราได้อะไรจากการดู “ตูน” ผ่านจอ

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

เราได้อะไรจากการดู “ตูน” ผ่านจอ

กลายเป็นปรากฏการณ์ไปแล้วครับ

กับโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ของ ตูน บอดี้สแลม ที่ใครๆ ก็ติดตามใกล้ชิดทุกๆ วัน ราวกับติดละครหลังข่าวก็ไม่ปาน

ผิดที่เรื่องนี้ไม่ใช่นิยายประโลมโลกย์ แต่เป็นเรื่องจริง วิ่งจริง ดังจริง

ตูนมาเปิดโครงการ “ก้าวคนละก้าว” กับรายการเจาะใจไปเมื่อวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม ซึ่งก็กลายเป็นข่าวฮ็อตทันที แค่ประกาศออกรายการก็มีคนบริจาคแล้ว นับว่าแรงศรัทธาที่คนทั่วไปมีให้กับตูนนั้นมากจริงๆ

เรื่องนี้เราได้เห็นตั้งแต่การวิ่งครั้งก่อนแล้วเพื่อโรงพยาบาลบางสะพาน เมื่อเห็นว่าตูนพูดจริง ทำจริง จึงได้รับผลตอบแทนเป็นพลังแห่งความศรัทธาโดยไม่ต้องพูดมาก ทำอย่างเดียว

ครั้งนี้เมื่อตูนผุดโครงการ “ก้าวคนละก้าว” และท้าทายตนเองด้วยระยะทางประวัติศาสตร์จากใต้สุดสู่เหนือสุด จากอำเภอเบตงสู่อำเภอแม่สาย ใครๆ ก็จ้องจับตามอง

ไม่ขอพูดถึงประเด็นดราม่าต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้น

แต่ขอชื่นชมตูนที่ไม่โต้ตอบด้วย “ปาก” แต่ตอบคำถามด้วย “ขา” ที่ออกวิ่ง วิ่ง และวิ่ง

ตอบข้อสงสัยด้วย “หัวใจ” ที่มุ่งมั่น อดทน ไม่ยอมแพ้ แม้บางช่วงร่างกายจะร้องอุทธรณ์บ้าง แต่เมื่อฟื้นฟูกลับมาได้ ตูนก็ออกวิ่งตามแผนเดิมต่อไป

มีผู้ติดตามชมเรียลลิตี้ครั้งนี้ของตูนอย่างล้นหลาม สำหรับสื่อหลักคือดิจิตอลทีวีแล้ว ไม่มีช่องไหนไม่เสนอข่าวของตูน ตื่นเช้ามาต้องมีรายงานแล้วว่า ตูนวิ่งถึงไหน ยอดบริจาคได้เท่าไหร่ และมีประเด็นเรื่องไหนที่น่าสนใจบ้าง

และที่ต้องพูดถึง คือการติดตามแบบสดๆ จากการถ่ายทอดผ่านเฟซบุ๊ก ที่ทำให้แฟนๆ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของตูนได้ตลอดเวลา นั่นแสดงถึงความล้ำหน้าของเทคโนโลยีทางการสื่อสารในปัจจุบัน ที่ไม่ต้องง้อสื่อเดิมๆ ที่เป็นบรอดคาสติ้ง สเตชั่น แต่สามารถทำตัวเป็นบอร์ดคาสต์ได้เองแล้ว

และเป็นบอร์ดคาสต์เคลื่อนที่ที่ตอบสนองเนื้อหา และความสนใจของแฟนๆ ได้เป็นอย่างดี

ผมเคยชมภาพยนตร์เรื่อง True Man Show ที่แสดงโดย จิม แคร์รี่ ในปี 1998 ตอนที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็รู้สึกว่ามันจะเป็นไปได้เชียวหรือที่จะมีการถ่ายทอดชีวิตคนแบบจริงจังตลอดเวลาอย่างในหนัง

ผ่านมาเกือบ 20 ปี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาให้ทุกอย่างง่าย กระชับ และสื่อสารได้รวดเร็ว ทำให้ “ตูน บอดี้สแลม โชว์” เป็นไปได้ไม่ยากเลย

ตลอดเวลาของการวิ่งของตูน เราจะได้เห็น “มุมของชีวิต” ที่น่าประทับใจสอดแทรกอยู่เสมอ นี่คือความฉลาดของทีมงานตูน ที่รู้จักถ่ายทอดสิ่งที่สามารถกระทบกับใจคนหมู่มากได้อย่างดีเช่นนี้

ไม่ว่าจะเป็น คุณยายที่ตูนวิ่งออกนอกเส้นทางไปหา เด็กนักเรียนด้อยโอกาสที่ได้รับโอกาสจากตูน เด็กน้อยๆ ที่หอบเอากระปุกออมสินมาให้ ผู้คนที่เดินทางไกลมาเพื่อขอให้ได้สัมผัสตัวจริงของตูน

ที่สำคัญคือ เราได้เห็นบรรยากาศของความรัก ความหวัง ความศรัทธาในพื้นที่ภาคใต้ที่เราไม่ได้เห็นมานานแล้วผ่านหน้าจอ และข่าวสาร

สิ่งนี้เกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติจากความศรัทธาเชื่อถือ เป็นตัวอย่างได้อย่างดีว่า “ความจริงใจ” สามารถนำพา “ความรัก” มาเยือนได้

จึงเกิดคำถามว่า ที่ผ่านมาพื้นที่ภาคใต้ขาดความรู้สึก “จริงใจ” ให้กับประชาชนหรืออย่างไร?

น่าจะเอาตูนเป็นที่ปรึกษานะครับ

สิ่งที่เราได้เห็นจนชินตาอย่างหนึ่งในกรณีของตูนก็คือ “การไหว้” เราจะเห็นว่าตูนพุ่งตรงเข้าหาทุกคนพร้อมการยกมือไหว้ตลอดเวลา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร อายุอ่อนแก่แค่ไหน แต่เขาสามารถยกมือไหว้โดยไม่เคอะเขิน เป็นการไหว้ที่มาจากความจริงใจ

เราได้เห็นตูนวิ่งๆ อยู่ ก็จะหยุดถ่ายรูปกับคนข้างทาง เป็นการถ่ายพร้อมรอยยิ้มเปื้อนเหงื่อ เป็นเราแค่วิ่งก็จะเอาตัวไม่รอดแล้ว ยังจะต้องยิ้ม ต้องทักผู้คน แถมต้องแวะถ่ายรูปกับคนนั้นคนนี้อีก

ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะครับ

ตูนเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขายินดีที่จะเสียเวลาเพื่อถ่ายรูปกับแฟนๆ ที่ร้องขอ ตูนบอกว่า “ทำไมจะทำไม่ได้ เราไม่มีต้นทุนอะไรที่ต้องเสียเลย” และแฟนๆ ก็ตั้งใจจะถ่ายรูปกับเรา เพราะเขารักเขาชื่นชมเรา นี่คือสิ่งที่คนเป็นศิลปินคนดังเรียกร้องมาตั้งแต่ยังไม่ดังไม่ใช่หรือ

ที่คิดเช่นนี้ได้ ต้องเป็นการคิดแบบไม่ยึดอัตตา ไม่วางตนเหนือใคร แม้ว่าเราจะดัง หรือยิ่งใหญ่แค่ไหน

คำพูดหนึ่งที่ผมชอบมากคือที่ตูนพูดว่า

“ไม่ต้องบริจาคเงินก็ได้ แค่ออกไปดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพของเรา เพื่อลดภาระให้คุณหมอได้ไปช่วยคนที่จำเป็นจริงๆ”

โอ้โฮ เป็นความจริงที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ที่ไม่ได้มีเงินเป็นคำตอบ แต่เป็นการกระทำต่างหากที่เป็นคำตอบ และเป็นการดับเหตุแห่งการเจ็บป่วยนั่นเอง นั่นคือ “การออกกำลัง และดูแลตัวเอง”

นี่คือส่วนหนึ่งที่เรามองเห็น และเรียนรู้ได้จากการติดตามตูนผ่านหน้าจอทุกวันๆ

และสิ่งที่ตูนทำนั้น เป็นคำตอบให้กับหลายๆ คำถาม อาทิ

“ทำยังไงที่จะประสบความสำเร็จ” คำตอบคือ ลงมือทำ เลิกถาม เลิกสงสัย

“ทำยังไงที่จะเป็นที่รักของคน” คำตอบคือ ทำด้วยความจริงใจ

“มันจะเป็นไปได้หรือ” คำตอบคือ ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าถ้าไม่ลงมือทำ ก็ไม่มีวันรู้

“จะตอบยังไงกับ 6 ข้อดี” คำตอบที่น่าจะดีคือ ไม่ต้องถาม จะได้ไม่ต้องตอบ เพียงแต่ลงมือทำเท่านั้น

ถามว่า…วันนี้คุณลงมือทำเรื่องดีดีแล้วหรือยัง

หรือมัวแต่พูดอยู่ ถามอยู่ สงสัยอยู่