สารดุดันจาก ‘เศรษฐา-ธนาธร’ ‘ความต่าง’ บน ‘ความเหมือน’

เย็นวันที่ 24 มีนาคม สองพรรคการเมืองใหญ่ของฝ่ายค้านและสองพรรคการเมืองที่มีคะแนนนิยมนำเป็นอันดับ 1-2 ของโพลสำนักต่างๆ อย่าง “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคก้าวไกล” ได้จัดกิจกรรมใหญ่ในเวลาเดียวกัน ณ พื้นที่ต่างกัน

กล่าวคือ พรรคเพื่อไทยได้จัดงานเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้ง 33 เขต ที่ศูนย์การค้าสเตเดียมวัน ย่านปทุมวัน ขณะที่พรรคก้าวไกลได้จัดเวทีเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี ทั้ง 10 เขต ที่แหลมฉบัง

หากพิจารณาในแง่ตัวบุคคล ผู้เป็นไฮไลต์สำคัญบนเวทีของพรรคเพื่อไทยที่กรุงเทพฯ ก็คือ “เศรษฐา ทวีสิน” หนึ่งในว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งขึ้นปราศรัยด้วยลีลาอันแข็งกร้าว ดุดัน เต็มเปี่ยมอารมณ์ความรู้สึก อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

ส่วนหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของเวทีที่ชลบุรี ก็คือ การปรากฏกายของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ที่เน้นย้ำอุดมการณ์ทางการเมืองแบบอนาคตใหม่-ก้าวไกลได้อย่างหนักแน่นทรงพลัง

และนี่ก็คือเนื้อหาบางส่วนจากคำปราศรัยของเศรษฐา-ธนาธร

ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยส่งสัญญาณว่า พรรคจะสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองแห่งความเท่าเทียม และเป็นเมืองอันมีที่ทางอยู่บนแผนที่ภูมิรัฐศาสตร์โลก ดังรายละเอียดที่ว่า

“เราจะสร้างมหานครแห่งความเท่าเทียมที่ทุกคนเท่ากัน มีผู้นำและ ส.ส.ที่รับผิดชอบ รับฟังเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง เราต้องสนับสนุนให้สังคมให้รางวัลคนขยัน คนอดทน คนตั้งใจ และคนทำมาหากินอย่างสุจริต

“เรารับไม่ได้กับระบบเส้นสายที่ทำให้คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงโอกาส และเรารับไม่ได้ที่เห็นมาเฟียในเมืองไทยประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่รัฐ สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดวิกฤตศรัทธา ประชาชนรู้สึกว่ารัฐไม่ใช่ที่พึ่งอีกต่อไป

“รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเข้ามากอบกู้วิกฤต ทำให้เสียงของทุกคนเท่ากัน คนทุกกลุ่มได้รับการยอมรับ ได้แสดงออก ทำให้รัฐกลับมาเป็นที่พึ่งของประชาชนคนไทยและแขกที่มาเยือน

“ท่านว่าที่ผู้ประสงค์ลงสมัคร ส.ส.ทุกท่านครับ คนกรุงเทพฯ ล้วนฝากความหวังไว้ในมือของท่านทุกคน ความหวังที่จะทำให้กรุงเทพฯ กลับมาเป็นเมืองสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นศูนย์กลางการบริหารและเป็นที่พึ่งของประชาชน

“ความหวังที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครที่รุ่งโรจน์อีกครั้ง มีบทบาทสำคัญในเวทีโลก ความหวังที่จะนำความภูมิใจของคนกรุงเทพฯ กลับมา ทำให้ประเทศไทยเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชียอีกครั้ง

“ท้ายนี้ ผมขออวยพรให้ทุกท่านได้รับเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ เข้าไปทำหน้าที่ในสภา ทำให้ ส.ว. 250 คน ได้ทำตามฉันทามติของประชาชน สนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล ทำให้ความหวังของคนกรุงเทพฯ เป็นจริง และส่งต่ออนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของเราทุกคน”

ทางด้านธนาธรก็ได้ตอบโต้ข้อกล่าวหาที่มองว่าพรรคก้าวไกล-อนาคตใหม่เป็นพวกสุดโต่ง รวมทั้งบอกเล่าความใฝ่ฝันที่อยากจะเห็นสังคมไทยมีความเสมอภาคเท่าเทียม และมีที่ยืนในระดับโลก ดังรายละเอียดที่ว่า

“เขาหาว่าพวกเราสุดโต่ง เขาหาว่าอนาคตใหม่มันสุดโต่ง ก้าวไกลมันสุดโต่งจังเลย

“สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด ตั้งแต่ตั้งพรรคอนาคตใหม่จนถูกยุบพรรค อุดมการณ์-นโยบายพรรคก้าวไกลไปสานต่อ ทุกอย่างเรียนรู้ เห็น แล้วเอามาประยุกต์ใช้กับสังคมไทย จากประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งนั้น

“เรียนรู้มาจากญี่ปุ่น เรียนรู้มาจากเกาหลี เห็นของดีที่อังกฤษหยิบมาประยุกต์ใช้ อะไรดีที่ฝรั่งเศสหยิบเข้ามา ไปเห็นอเมริกาเขาพัฒนาอย่างไร หยิบเข้ามาใช้ อยากให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าเหมือนอย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาหาว่าผมสุดโต่ง

“ผมถามกลับว่า ใครที่เคยไปต่างประเทศ สิ่งที่ผมพูดเนี่ยมันไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็นกันอยู่ทุกวันในประเทศที่เจริญแล้วเหรอ? มันเป็นสิ่งที่เรียบง่าย ที่ประเทศที่เจริญแล้วเขาทำกันทุกวัน แต่อยู่ที่นี่ สุดโต่ง

“ผมถามกลับครับ คนที่กล่าวหาเราว่าสุดโต่งมันล้าหลังหรือเปล่า? เหตุผลที่พวกเขาไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ไม่อยากให้สังคมไทยก้าวหน้า มันมีเหตุผลเดียว และเป็นเหตุผลที่ผมพูดไว้ตอนแรก ว่าโครงสร้างสังคมแบบนี้มันเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ของประเทศ

“และพวกเขาได้รับประโยชน์จากโครงสร้างสังคมแบบนี้ เขาจึงไม่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง เขาจึงไม่ต้องการเห็นความก้าวหน้า

“เลือกตั้งครั้งนี้โอกาสอยู่ในมือท่าน เราจะสู้ทุกครั้ง เราจะสู้ทุกการเลือกตั้ง เราจะสู้ทุกโอกาส เพื่อผลักดันความฝันของพวกเราให้เป็นจริง สร้างคนไทย สร้างสังคมไทย ที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน พาประเทศไทยไปสู่ระดับโลก สร้างประเทศไทยที่ยืนอยู่ในอุตสาหกรรมโลกได้อย่างภาคภูมิ มาสร้างประเทศไทยแบบนี้ด้วยกัน

“เลือกพวกเขาสิบคนไปรับใช้ชลบุรี เลือกพรรคก้าวไกลไปสร้างอนาคตที่สดใสให้กับประเทศไทยครับ ขอบคุณครับ”

 

จะเห็นได้ว่า แม้ “เศรษฐา ทวีสิน” และ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อาจยืนอยู่บนเวทีของพรรคการเมืองต่างพรรคกัน (ทั้งยังถูกมองจากหลายฝ่ายว่าเพื่อไทยและก้าวไกลกำลังจะกลายเป็นคู่แข่งขันที่ขัดแย้ง-แย่งชิงฐานคะแนนกันมากขึ้นตามลำดับ)

แม้ฝ่ายแรกกำลังก้าวเดินไปสู่เส้นทางการเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มจะชนะการเลือกตั้ง ขณะที่ฝ่ายหลังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง และหมดโอกาสทำงานการเมืองระดับชาติไปอีกหลายปี

ทว่า ภาพของกรุงเทพมหานครและประเทศไทยในความคาดหวัง ความฝัน และโครงการทางการเมืองของทั้งคู่ กลับมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าทึ่ง