TikTok แอพฯ การเมือง?

อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์
(Photo by OLIVIER DOULIERY / AFP)

ติ๊กต็อก หรือ TikTok เป็นเรื่องที่ผมไม่รู้จักมาก่อน ตอนนี้ก็ไม่รู้จักและไม่ได้ใช้แอพพ์นี้

มีบางคนอธิบายว่า มันคือคลิปวิดีโอสั้นๆ ผมพอเข้าใจ แต่มันสำคัญตรงไหน

ตอนที่มีข่าวแพร่หลายไปทั่วว่า นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย Scott Morison ทำการตรวจสอบติ๊กต็อกเข้มข้น ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งทางการค้าระหว่างออสเตรเลียกับจีน

แต่จริงๆ มันมากกว่านั้นมาก เพราะติ๊กต็อกถูกกล่าวหาว่า แอพพ์อาจนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในทางอื่นๆ ละเมิดความเป็นส่วนตัว มีการสอบสวนในรัฐสภาออสเตรเลียเรื่องการแทรกแซงของต่างชาติ

ผมจึงลองค้นคว้าดู

 

ทำไมติ๊กต็อกจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ตอนนี้ประเทศต่างๆ จากอเมริกาเหนือจนไปถึงยุโรป กำลังแนะนำคนทำงานของรัฐบาล แบนติ๊กต็อก แอพพ์ของคนจีน

อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังที่แท้จริง ละเมิดข้อมูลส่วนตัว สงครามเทคโนโลยี ภัยคุกคามแห่งชาติสูงสุด การแทรกแซงทางการเมือง โรคกลัวจีน โรคเกลียดจีน

วันนี้สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป และอังกฤษ รัฐบาลของพวกเขาแนะนำเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ติดตั้งติ๊กต็อก แล้วให้ปฏิบัติตามคำแนะนำนี้อย่างรวดเร็ว

มีกระแสต่อต้านติ๊กต็อกที่แพร่ไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟไหม้ป่า แอพพ์วิดีโอสั้นๆ นี้ก่อความเสียหายให้กับติ๊กต็อกอย่างมาก

เราควรดูข้อมูลของแอพพ์นี้บางประการ

 

ภูมิหลังและข้อมูลพื้นฐาน

มีผู้คนเป็นพันล้านคนทั่วโลกใช้ติ๊กต็อก ข้อมูลจากการศึกษาของ Chris Stoket-Walker ระบุว่ามีคนใช้ติ๊กต็อกราว 1 ใน 4 ของอังกฤษ และมากกว่า 150 ล้านคนในยุโรป

ตอนนี้มีข้อแนะนำว่า ให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงการใช้แอพพ์นี้บนมือถือของพวกเขา

เหตุการณ์แบนนี้ คล้ายกับที่เกิดขึ้นในอินเดียปี 2020 เนื่องจากเหตุผลภูมิรัฐศาสตร์ มีการลบติ๊กต็อกออกจากผู้ใช้ในอินเดียราว 200 ล้านคน1

แต่ก็ไม่มีประเทศไหนได้แบนติ๊กต็อกจากอุปกรณ์ของรัฐแบบที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการอ้างว่าเกี่ยวข้องกับความมั่นคง เกี่ยวข้องกับภูมิรัฐศาสตร์ โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในสื่อโซเชียล

ส่วนติ๊กต็อกก็พยายามหนีห่างจากข้อกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party-CCP)

นั่นคือ ติ๊กต็อกมีบริษัทแม่คือบริษัท ByteDance ที่มีสำนักงานอยู่ที่เกาะเคย์แมน (Cayman Island) เกาะปลอดภาษี โดยไม่ได้ตั้งที่เมืองปักกิ่ง ในจีน

แต่ก็ยังมีข้อสงสัยเรื่องความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ดี

ในเวลาเดียวกัน ติ๊กต็อกมีความเป็นท้องถิ่นมากขึ้นคือ เป็นบริษัทหนึ่งของจีน ทำธุรกิจในจีนกว้างขวาง แต่ติ๊กต็อกกลับพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และเติบโตสู่ระดับโลกอย่างรวดเร็ว

ความผูกพันที่แยกไม่ออกระหว่างติ๊กต็อกกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนนี่เอง ที่สร้างความหวาดระแวงและหวาดกลัวว่า ติ๊กต็อกจะนำข้อมูลของผู้ใช้ส่งต่อไปให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือรัฐบาลจีน เมื่อรัฐบาลจีนร้องขอ

 

แอพพ์การเมืองหรือเปล่า

ตอนนี้ข่าวที่ดังไปทั่วโลกคือ การสอบสวนของคณะกรรมาธิการ House, Energy and Commercial Committee รัฐสภาสหรัฐอเมริกา มีการเผชิญหน้ากันระหว่างคณะกรรมาธิการกับซีอีโอของติ๊กต็อก

ซีอีโอท่านนี้ชื่อ Shou Zi Chew อายุเพียง 40 ปี เขาเป็นชาวสิงคโปร์ เรียนจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ University College London ประเทศอังกฤษ เรียนจบ Harvard Business School มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ปี 2010 แล้วเป็น Intern ที่บริษัท Facebook

เคยทำงานในวาณิชธนกิจอเมริกัน Goldman Sachs 2 ปี เคยเป็นเจ้าหน้าที่บริหารการเงินของบริษัท Xiomi บริษัทโทรคมนาคมของจีน ก่อนมาทำงานบริษัท ByteDance บริษัทแม่ของติ๊กต็อก2

ซีอีโอ Shou Zi Chew โต้แย้งว่า ติ๊กต็อกไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ข้อมูลอยู่ที่เท็กซัส ภายใต้โครงการ Texas project มีผู้ดูแลคือ บริษัท Oracle บริษัทอเมริกันเก็บข้อมูลของผู้ใช้อเมริกัน

เขายืนยันว่า “…นี่เป็นความพยายาม ข้อมูลอเมริกันเก็บไว้แผ่นดินอเมริกัน โดยบริษัทอเมริกัน และดูแลโดยบุคลากรอเมริกัน…”3

นี่เป็นข้อโต้แย้งของซีอีโอติ๊กต็อกต่อการสอบสวนจากกรรมาธิการรัฐสภาอเมริกัน แล้วยังมีข้อสงสัยกระหน่ำจากทั้งสังคมอเมริกันและทั่วโลก

คราวนี้ลองมาดูข้อมูลอีกชุดหนึ่ง ของกรรมาธิการวุฒิสภาออสเตรเลีย

จากรายงานของคณะทำงานเรื่องติ๊กต็อก4 ต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสมาชิก รัฐสภาออสเตรเลียมีความน่าสนใจหลายประเด็น เช่น

แอพพ์การเมือง ติ๊กต็อกอ้างว่า เกี่ยวข้องกับความบันเทิงไม่ใช่การเมือง แต่ปีที่แล้ว 1 ใน 3 ของผู้ใช้ที่เป็นผู้ใหญ่ที่ได้ข่าวสารจากติ๊กต็อก ในขณะที่ 1 ใน 6 ของวัยรุ่นอเมริกันอยู่ในแพลตฟอร์มนี้เกือบคงที่ ดังนั้น แพลตฟอร์มมีสิ่งสำคัญนอกเหนือแค่วิดีโอสั้นๆ เพื่อความบันเทิง

แหล่งกำเนิดที่แท้จริง คือผู้ก่อตั้ง นาย Zhang Yiming ผู้มีประวัติอย่างเป็นทางการคือ เขามีส่วนให้ทางการปักกิ่งตัดสินใจปิด Fantou ซึ่งเป็นโคลนของทวิตเตอร์ที่เขาก่อตั้งปี 2009

พอไปดูเว็บไซต์ของบริษัทแม่ (parent company) ติ๊กต็อกคือ ByteDance เว็บไซต์ ByteDance บอกถึง ผู้ก่อตั้งบริษัทโครงสร้างบริษัท เผยข้อมูลถึงชั้นต่างๆ ของข้อมูลที่หายตัวไป รวมทั้งข้อมูลที่พิสูจน์ว่า ติ๊กต็อกคือเจ้าของบริษัทลูกทั้งหมดของ ByteDance

ติ๊กต็อกมีฝาแฝดจีน ขณะที่ติ๊กต็อกใช้บริษัท Douyin เป็นชื่อของบ้านที่อยู่อาศัยในจีน

ในขณะที่ติ๊กต็อกไม่ได้อยู่ในจีน ติ๊กต็อกอ้างว่าเป็นแก่นแท้ของธุรกิจ แต่จากรายงานของคณะทำงานชุดนี้ ทั้งติ๊กต็อกและ Douyin ร่วมแชร์ทรัพยากรด้านบุคลากรและเทคโนโลยี มีโครงสร้างการจัดการคู่ขนาน และอนุญาตใช้ข้อมูลซึ่งกันและกัน

บริษัททั้งคู่ ไม่ใช่องค์กรเอกชน ถ้า ByteDance ครั้งหนึ่งเคยเป็นบริษัทเอกชน สถานะของบริษัทเริ่มเปลี่ยนเมื่อปี 2017 เมื่อติ๊กต็อกได้บริษัท Musical.ly มาเป็นของตน

พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ตั้งต้นโปรแกรมการครอบไว้ การแทรกแซงและการข่มขู่ด้วยกฎหมายและมากกว่ากฎหมาย

ดังนั้น ตอนนี้ ByteDance ควรถูกเข้าใจว่าเป็นองค์กรผสมรัฐ-เอกชน (hybrid state-private entity)

หัวหน้าบรรณาธิการ ByteDance ยังเป็นนายใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ByteDance ไม่ได้เผยแพร่ว่า หัวหน้าบรรณาธิการ Zhang Fuping เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ด้วย

เป้าหมายและหน้าที่ ByteDance คือพลังขับเคลื่อนของสารวัตรทหารจีน หัวหน้าบรรณาธิการและเลขาธิการพรรค Zhang Fuping ปรากฏในรูปวันฉลองกับผู้อำนวยการของ Political Work Department of the People’s Armed Police ที่เป็นกองกำลังกึ่งทหารในกิจการภายในของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP ‘s domestic paramilitary force) ร่วมมือทำงานโฆษณาชวนเชื่อด้านทหารและความมั่นคง

ByteDance พูดว่าตนไม่ได้ทำการผลิต ดำเนินการ หรือเผยแพร่การบริการผลิตภัณฑ์ใดๆ เกี่ยวกับการสอดแนม

แต่ในความเป็นจริง Douyin ระบบอะนาล็อกของติ๊กต็อกในจีนช่วยงานตรงๆ ด้านการโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

และเป็นหมวกใบที่สองของบรรดาผู้นำระดับสูง ในองค์กรโฆษณาชวนเชื่ออย่างเป็นทางการ

รายงานของคณะทำงานชุดนี้ชี้ว่า แหล่งข้อมูลภาษาจีนชี้ว่า ผู้ก่อตั้ง ByteDance นาย Zhang Yiming ไม่ได้สละเพียงตำแหน่งและบทบาทของเขาแค่ซีอีโอบริษัท แต่ยังให้หุ้นทั้งหมดของเขาใน Douyin หลังจากพรรคกดดันเขาเป็นเวลาหลายปี

อันนี้นึกขึ้นได้ถึงกรณี Jack Ma ที่ยุติบทบาทของเขาใน Alibaba ก่อนสูญเสียหุ้นของเขาในบริษัท Ant group

 

2 ประเภทความเสี่ยงหลักของ ByteDance

เสี่ยงหลักที่ 1 ความเสี่ยงหลักคือความปลอดภัยด้านข้อมูล (การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล) การจารกรรม (การสอดแนม) และกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลทางการเมือง (การเซ็นเซอร์ เรื่องที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับจีน เช่น เรื่องอุยกูร์ ไต้หวัน) ควบคุมเรื่องเล่าเรื่อง (narrative control) (การแทรกแซงทางการเมือง) อำนาจควบคุมเรื่องเล่าของมวลชน

เสี่ยงหลักที่ 2 ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดด้วย ศักยภาพของติ๊กต็อกในการปรับเปลี่ยน (shaping) เรื่องเล่าต่างๆ และดูแลรักษา (curating) พื้นที่การเมืองโพ้นทะเล ByteDance มีความสามารถพัฒนาเครื่องกรองเนื้อหา (content) อัตโนมัติ เผยแพร่เนื้อหา และปรับใช้มาตรฐานต่างๆ เพื่อบริการการโฆษณาพรรคคอมมิวนิสต์จีน

เมื่อพิจารณาเป้าหมายโฆษณาชวนเชื่อภายนอกของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ความสามารถต่างๆ ของติ๊กต็อก ปรากฏว่า ใกล้เคียงกับคำสั่งต่างๆ ของประธานาธิบดีสี ในการสร้างกลไกวาทกรรมต่อภายนอกด้วยสื่อใหม่ (new media) และแจกแจงเป้าหมายผู้รับชาวต่างชาติ ด้วยวิธีการสื่อสารที่แม่นยำ

รายงานนี้วิเคราะห์เนื้อหาของ ByteDance เผยให้เห็นสัดส่วนที่สูงมากของเนื้อหานิยมพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Pro-CCP) และข่าวปลอม (misinformation) ของติ๊กต็อกมากกว่าเนื้อหาที่อยู่ในแพลตฟอร์มอื่น

มีหลักฐานว่าทางปักกิ่งสนใจการใช้สื่อโซเชียลเพื่อผลิตโฆษณาชวนเชื่อเป้าหมาย รวมทั้งการแทรกแซงทางการเมือง

ติ๊กต็อกมีศักยภาพสูงครอบงำการเลือกตั้งหรือทำให้ผลการเลือกตั้งแกว่งไปแกว่งมาและลดทอนเจตนารมณ์แห่งสังคมเปิด (Open Societies) ที่แข่งขันเอาชนะรูปแบบอำนาจนิยมแบบจีนในระดับโลก

พรรคคอมมิวนิสต์จีนส่งสัญญาณเมื่อปี 2020 ว่าจะต่อต้านความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่บังคับ ByteDance เพื่อกำจัดติ๊กต็อก นี่คือความหมายของการวีโต้ของปักกิ่งในต่างแดน

ติ๊กต็อกเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าแค่วิดีโอบันเทิงสั้นๆ หัวเราะไม่ออกเลยครับ

 


1Chris Stoket-Walker, “TikTok : genuine threat or victim of overhyped geopolitics?” Cyber news 14 March 2023

2“Meet Shou Zi Chew TikTok’s 40 years old CEO” Business Insider 25 March 2023

3Andrew Thornebepoke, “TikTok CEO Testifies company still Stroing Some US User Data Oversea” Cyber News 23 March 2023.

4Rachel Lee, Prudence Luttrell, Matthew Johnson, John Garnunt, “TikTok, ByteDance, and their ties to Chinese Communist Party”, Submission to the Senate Select Committee on Foreign Interference Through Social Media, 14 March 2023.