ศึกเลือกตั้ง อยู่ที่ “ฟ้าลิขิต” | จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

“เลือกตั้ง 2566” ที่ทาง “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” ประกาศวันทำศึกออกมาเรียบร้อยแล้ว ตรงกันวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ชิง ส.ส. 2 ระบบ แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน และบัญชีรายชื่อ 100 คน จากจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร ที่สรุปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 66,090,475 คน เท่ากับประชากรโดยเฉลี่ย 165,226 คนต่อจำนวน ส.ส. 1 คน

จังหวัดที่มี ส.ส.มากที่สุด คือ “กรุงเทพมหานคร” จำนวน 33 คน รองลงมา “นครราชสีมา” 16 คน ตามด้วย “ขอนแก่น-อุบลราชธานี” จังหวัดละ 11 คน และจังหวัดที่มี ส.ส.จำนวน 10 คน คือ “ชลบุรี-เชียงใหม่-นครศรีธรรมราช-บุรีรัมย์-อุดรธานี”

ศึกเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะระเบิดขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้า “พรรคเพื่อไทย” ได้รับการคาดหมายจากเซียนการเมือง-กูรู-หลวงผู้รอบรู้ทุกสำนักว่า จะเข้าป้ายหยิบชิ้นปลามัน ชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ขัดบัญชาสวรรค์ แต่จะได้ชิงธงเป็นแกนนำฟอร์มรัฐบาลหรือไม่ ยังไม่ชัวร์ ขึ้นอยู่กับ “ฟ้าลิขิต”

“พรรคเพื่อไทย” ก่อตั้งโดยคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2550 ทดแทน “พรรคพลังประชาชน” ที่ถูก “ศาลรัฐธรรมนูญ” สั่งยุบ ขณะที่ “พลังประชาชน” ก็เป็นนอมินี ห้องเครื่องเก่าของ “ไทยรักไทย” ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคมาก่อนหน้านี้เช่นเดียวกัน

ศึกเลือกตั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.2554 “พรรคเพื่อไทย” ที่นำโดย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ชนะกวาด ส.ส.ได้มากถึง 265 ที่นั่ง ทิ้งห่าง “ประชาธิปัตย์” ที่นำโดย “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไปมากกว่า 100 เสียง แม้จะได้คะแนนเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ดึงพรรคขนาดเล็กเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลเพื่อกันเหนียว

หลัง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” รัฐประหารยึดอำนาจ โค่นรัฐบาลพลเรือนของ “ยิ่งลักษณ์” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นราหูอมจันทร์มาสี่ซ้าห้าปี และตัดสินใจปลดปล่อยประชาธิปไตยทางตรงกลับมาเป็นของประชาชนพลเมืองอีกคำรบ โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562

ผลของการเลือกตั้ง ตามกรอบรัฐธรรมนูญ 2560 เต็งแชมป์ “พรรคเพื่อไทย” อกสั่นขวัญเสีย เกี่ยวกับการคูณคำนวณของ “คะแนนพึงมี” จากสูตรหาร 500 จากเขตเลือกตั้ง 350 ที่นั่ง บัญชีรายชื่อ 150 ที่นั่ง บัตรเลือกตั้งใบเดียว

คิดอวดฉลาด “เล่นท่ายาก” ไปแตกแบงก์พัน จดแจ้งก่อตั้ง “พรรคไทยรักษาชาติ” ตามยุทธศาสตร์ แยกกันเดิน ร่วมกันตี โดย “เพื่อไทย” เก็บแต้มจาก “เขตเลือกตั้ง” ขณะที่ “ไทยรักษาชาติ” กวาดเสียงจาก “บัญชีรายชื่อ”

คิดอย่าง “เสือ” ผลออกมาเป็น “แมว” ปรากฏว่า ไทยรักษาชาติถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง “ยุบพรรค” ศึกเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 “พรรคเพื่อไทย” เลยเป็นกระต่ายยืนขาเดียว

แม้จะชนะเลือกตั้ง ได้ที่นั่ง ส.ส.เข้าสภามามากที่สุด คือ 134 ที่นั่ง แต่ฐานคะแนนเสียงจากศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2554 เคยได้มากถึง 15,752,470 เสียง ลดเหลือเพียง 7,881,006 เสียง ในการเลือกตั้งปี 2562

“พรรคพลังประชารัฐ” ที่ส่ง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เข้าประกวดในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แม้จะได้ ส.ส.เขตมาเพียง 118 ที่นั่ง แต่คณะคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหมดมากกว่า เลยได้ชิงลงมือฟอร์มรัฐบาลเป็นผลสำเร็จ

 

กับศึกเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พฤษภาคม “พรรคเพื่อไทย” เก็บบทเรียนราคาแพง เข็ดขี้อ่อนขี้แก่กับ “การเล่นท่ายาก” ไม่เดินสะดุดขาตัวเองในช่วงเวลาสำคัญอีกแล้ว ระมัดระวังตัวแจ

ยิ่งโค้งนี้ ไม่ว่าโหร-โพลทุกสำนัก เซียนพนันทุกมุม ต่างฟันธงไปทิศทางเดียวกันว่า “เพื่อไทย” ชนะศึกเลือกตั้งครั้งนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จะมากหรือน้อยเท่านั้น หัสเดิมมีการประเมินกันว่า ตัวเลขที่จะได้รับเลือกตั้ง ทั้งแบบเขตเลือกตั้ง-บัญชีรายชื่อ วิเคราะห์แบบกระแสนิยม น่าจะเข้าป้าย 200 ที่นั่งบวก-ลบ 20

แต่ล่าสุด พรรคเพื่อไทยเปิดตัวเลขทางยุทธศาสตร์ หรือแผนปฏิบัติซึ่งวางเพื่อให้เป้าหมายบรรลุวัตถุประสงค์ หรือ “เป้าหมายจำเพาะ” ไว้มากถึง 310 ที่นั่ง

ซึ่งไม่ได้ฝัน ละเมอ หรือเพ้อเจ้อแต่ประการใด เมื่อนำตัวเลขคะแนนนิยมที่ “นิด้าโพล” สำรวจมาวิเคราะห์ จะพบว่า เมื่อช่วงต้นปี 2565 ที่ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ประกาศเปิดตัวนำทัพ ฐานคะแนนเบียดแทรก ชนิดต้องถ่ายรูปกับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาตลอด และค่อยๆ ทะยายขึ้นมานำหน้า

ล่าสุด ที่ “นิด้าโพล” สำรวจว่าด้วย “ศึกเลือกตั้ง 2566 ครั้งที่ 1” ปรากฏว่า “อุ๊งอิ๊ง-เพื่อไทย-เขตเลือกตั้ง-บัญชีรายชื่อ” นำแบบม้วนเดียวจบ ร้อยละ 49.75-49.85 ซึ่งตัวเลขสอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ของ “เพื่อไทย” ที่วางไว้ 310 ที่นั่ง

ซึ่งประเมินว่า จะเกิดแลนด์สไลด์จากเขตเลือกตั้ง 260 ที่นั่ง บัญชีรายชื่อ 50 ที่นั่ง โดยจะได้ “คะแนนมหาชน” เก่ากลับมาอีกครั้งที่ 17.5 ล้านเสียง อันเป็นตัวเลขที่ “แกนนำเพื่อไทย” เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้สูงมาก

วัดจากการเลือกตั้งใหญ่ ปี 2544 ที่ยังเป็น “พรรคไทยรักไทย” ได้คะแนนมหาชน 11.6 ล้านเสียง ปี 2548 ได้คะแนนมหาชน 18.9 ล้านเสียง ได้บัญชีรายชื่อ 67 คน ปี 2554 ได้ 15.7 ล้านเสียง ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 61 คน และปี 2562 ได้คะแนนมหาชน 7,881,006 ล้านเสียง จากการเล่นท่ายาก ได้เพียง ส.ส.เขต 134 คน โดยไม่มีบัญชีรายชื่อเลยแม้แต่ที่นั่งเดียว

ทีนี้มาวิเคราะห์เจาะลึกกันต่อไปว่า การที่ “พรรคเพื่อไทย” ประกาศอย่างอหังการ ไม่ทะนงตน ไม่เกรงใจพรรคคู่แข่ง ตั้งธงกวาด 310 ที่นั่ง แน่นอนว่า ตัวเลขกลมๆ ที่จะได้รับเพิ่ม ต้องไปเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านมาจากพรรคคู่แข่ง ทั้งในซีกของขั้วอนุรักษนิยม และฝั่งเสรีนิยมด้วยกัน

พรรคที่ไม่ค่อยหวานหูกับตัวเลข 310 เสียงจากเขตเลือกตั้ง 260 และบัญชีรายชื่อ 50 คือ “ก้าวไกล”

อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ช่วงเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ “อนาคตใหม่” เดิมได้รับเลือกตั้ง 80 กว่าเสียงนั้น “คะแนนมหาชน” ส่วนหนึ่งไหลมาจาก “ไทยรักษาชาติ” ที่ถูกยุบ หลายพื้นที่ซึ่งพรรคเพื่อไทยหลีกทางให้ไม่ส่งผู้สมัคร เทคะแนนให้กับ “อนาคตใหม่”

แต่ศึกเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 ข้อสอบเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย บัตร 2 ใบ หาร 100 “พรรคเพื่อไทย” ประกาศศักดาทวงบัลลังก์จ่าฝูงกลับคืน เอาคะแนนมหาชนที่หายไปเกือบครึ่งกับการเลือกตั้งปี 2562

จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า “พรรคก้าวไกล” จะได้รับผลกระเทือนหนักพอสมควร