ปฏิบัติการ เร้นลับ ซิมก่ำไต้ซือ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง ซ้อนกล ‘อาฮุย’

บทความพิเศษ

 

ปฏิบัติการ เร้นลับ

ซิมก่ำไต้ซือ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง

ซ้อนกล ‘อาฮุย’

 

จะเข้าใจ “สถานการณ์” การปรากฏขึ้นของ “โจรดอกเหมย” ในขณะที่ลี้คิมฮวงถูกกักตัวอยู่ในวัดเสียวลิ้มยี่ต้องทำความเข้า “สภาพการณ์” ต่อไปนี้

1 ผลสะเทือนในเบื้องต้นจาก “โจรดอกเหมย”

ในร้านอาหาร บนเหลาสุรา ผู้คนจำนวนมากล้วนซุบซิบสนทนาถึงเรื่องนี้ หรือว่าผู้ที่สังหารเตียเซ่งคี้จึงเป็นโจรดอกเหมยตัวจริง

ผู้มีเงินทอง มีอิทธิพล ยามค่ำคืนเริ่มนอนไม่หลับอีกแล้ว

ขณะเดียวกัน 1 ความรับรู้และกระบวนการวิเคราะห์ในวัดเสียวลิ้มยี่เมื่อข่าวการปรากฏตัวของโจรดอกเหมยเดินทางไปถึง

ซิมก่ำไต้ซือ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง ล้วนหน้าแปรเปลี่ยน

ยิ่งเมื่อทราบ “รายละเอียด” ทุกจังหวะก้าว ซิมก่ำไต้ซือ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง สบตากันวูบ ล้วนหน้าซีดขาวไร้สีเลือด

เจ้าอาวาสเสียวลิ้มยี่ นิ่งเงียบงัน

เงียบงันราวกับพระพุทธรูปในโบสถ์พระประธาน แต่มือที่กำลูกประคำของท่านคล้ายสั่นระริกอยู่บ้าง

 

จําเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจต่อท่าทีและการแสดงออกจาก 1 ซิมโอ้วไต้ซือ เจ้าอาวาส และ 1 ซิมก่ำไต้ซือ กับ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด เจ้าอาวาสค่อยทอดถอนใจยาว

“โจรดอกเหมย เมื่อปรากฏกายขึ้นใหม่ คำกล่าวของลี้ชิ้มฮัวอาจไม่แปลกปลอม พวกเราอาจปรักปรำเขา”

แป๊ะเฮี่ยวเซ็งมองดูซิมก่ำไต้ซือ หาได้เอ่ยปากไม่

ซิมก่ำไต้ซือเดินช้าๆ ถึงริมหน้าต่าง มองดูหิมะที่สุมอยู่นอกหน้าต่าง กล่าวอย่างแช่มช้าว่า “อาจบางที นี่กลับพิสูจน์ยืนยันว่าลี้ชิ้มฮัวคือโจรดอกเหมย”

คำอธิบายของซิมก่ำไต้ซือคือ

“หากเราเป็นโจรดอกเหมยทราบว่ามีคนเป็นปีศาจตายแทนเราย่อมต้องหลบหน้าชั่วคราว หากมันเคลื่อนไหวไยมิใช่กลับเป็นการช่วยเหลือลี้ชิ้มฮัว”

สอดรับกับเสริมจากแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง

“มิผิด การปรากฏกายของโจรดอกเหมยครั้งนี้เท่ากับเป็นการล้างความผิดให้แก่ลี้ชิ้มฮัว หากเราเป็นโจรดอกเหมยต้องไม่กระทำเช่นนี้แด็ดขาด”

ที่ไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลย คือ การเคลื่อนไหวของลิ่มเซียนยี้

 

เหตุใดจึงสนใจลิ่มเซียนยี้ เหตุใดจึงไม่ให้ความสนใจไปยังอาฮุย ทั้งๆ ที่การปฏิบัติการล้วนเป็นของอาฮุย

เหตุผล 1 เพราะอาฮุยตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน

เหตุผล 1 ความสนใจของอาฮุย ทางหนึ่ง มันหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับความหลงใหลต่อลิ่มเซียนยี้ ทางหนึ่ง มีความห่วงหาอาทรต่อลี้คิมฮวง

บทบาทและการเคลื่อนไหวของลิ่มเซียนยี้จึงน่าสนใจ เพราะเป็นคนวางแผน

วันนี้ ลิ่มเซียนยี้แต่งตัวประหลาดอย่างยิ่ง นางสวมเสื้อผ้าฝ้ายตัวหลวมใหญ่ ปิดบังรูปกายอันอวบอัดรัดรึงจนหมดสิ้น

ที่ศีรษะยังสวมหมวกสักหลาดเก่าขาด ปิดบังโฉมหน้าแท้จริง

เนื่องเพราะนางไปเพื่อสืบเสาะ “ข่าวคราว” และเนื่องเพราะนางไปเป็นเวลา 2 ชั่วยามเต็มๆ

ข่าวจากลิ่มเซียนยี้คือ “หลวงจีนเหล่านั้นยังไม่ยอมปล่อยมัน”

คำอธิบายจากลิ่มเซียนยี้คือ “พฤติการณ์ของเสียวลิ้มยี่หนักแน่น มั่นคงเสมอมา มิว่ากระทำเรื่องราวใดจะต้องสำรวจเป็นเวลานานอย่างยิ่ง ย่อมไม่ยอมกระทำโดยวู่วามหุนหัน ยินยอมไม่กระทำ ก็มิยอมกระทำผิดพลาด”

แม้เวลาจะผ่านล่วงมา 6-7 วันแล้วก็ตาม จึงมีความจำเป็นต้องเสาะหาเป้าหมายที่ 2 เพื่อตอกย้ำ ยืนยัน

 

เป้าหมายที่ 2 ย่อมเสนอแนะและเปิดเผยข้อมูลจากการเสาะหาด้วยความรอบคอบและรัดกุมของลิ่มเซียนยี้

เริ่มจาก “โรงรับจำนำ” ตามมาด้วย “เหลาสุรา” ตามมาด้วย “ร้านแพรพรรณ”

ใจกลางเมืองอันเป็นศูนย์กลางการค้าอันคับคั่งจอแอ มีถนนอยู่ 3 สาย และในถนน 3 สายห่างกันแต่ละ 5-6 ร้านจะมียี่ห้อ “เซ็งกี่” อยู่ร้านหนึ่งเสมอ

ทั้งหมดล้วนเป็นธุรกิจในมือ “เซ็งเล่าซำ”

“ตระกูลเซ็งเป็นตระกูลใหญ่ ชั่วคนก่อนมี 5 พี่น้อง มาถึงชั่วคนนี้มีลูกพี่ลูกน้องถึง 16 คน พี่น้อง 16 คนเปิดร้านถึง 40 กว่าร้าน

แต่บัดนี้ร้านทั้ง 40 กว่าล้วนเป็นของเซ็งเล่าซำคนเดียว

เนื่องเพราะพี่น้องทั้ง 15 คนของมันต่างเข้าโลงไปแล้ว ฟังว่าเป็นป่วยตาย แต่ตายด้วยสาเหตุใดกันแน่มิว่าผู้ใดก็ไม่ทราบ

ผู้อื่นเพียงแต่ประหลาดใจ 15 คนที่ปกติมีสุขภาพแข็งแรงไฉนทยอยกันตายหมดสิ้นภายในเวลา 2-3 ปีเท่านั้น ดุจดั่งเป็นโรคระบาดก็ปาน แต่เซ็งเล่าซำกลับไม่เคยมีโรคภัยไข้เจ็บแม้สักน้อยนิด”

อาฮุยแหงนหน้ามองคล้ายกำลังคำนวณความสูงของกำแพงอยู่ มันมิได้กล่าวกระไรเพียงส่งเสียงราบเรียบ

“ค่ำพรุ่งนี้ข้าพเจ้ามาหามัน”

 

อาฮุยเคลื่อนไหวทั้งมือ เท้า ปีนป่ายขึ้นกำแพงสูงราวจิ้งจกตัวหนึ่ง พอถึงบนกำแพงก็พบเห็นสวนไม้ดอกอันกว้างใหญ่และห้องหับปลูกเรียงรายเป็นชั้นๆ

ตัวตึกใหญ่โตเพียงจุดโคมไฟอยู่ไม่กี่แห่ง

ลิ่มเซียนยี้เป็นสตรีที่มีความสามารถเฉพาะตัวและเป็นผู้ช่วยอันประเสริฐ นางซื้อตัวบ่าวไพร่ในตึกผู้หนึ่งให้วาดภาพแผนผังโดยละเอียดใบหนึ่ง ที่ใดเป็นห้องโถงใหญ่ ที่ใดเป็นห้องคนรับใช้

ที่ใดเป็นห้องนอนในแผนผังล้วนกำหนดไว้อย่างชัดแจ้ง ดังนั้น อาฮุยเสาะพบโดยไม่ลำบากยากเย็นแต่อย่างใด

ปรากฏว่ามันยังไม่เข้านอน ภายในห้องยังจุดโคมไฟ

ยามนี้ยังดีดลูกคิดอยู่ใต้โคมไฟรวมรายรับประจำวัน มันดีดลูกคิดรางแก้วไม่เร็วนัก เพราะนิ้วมือของมันสั้นยิ่ง

อาฮุยพลันผลัก เปิดหน้าต่าง พุ่งปราดเข้าไป

ในห้วงคับขัน เป็น ตาย มันกระทั่งความคิดดิ้นรนมีชีวิตรอดยังไม่มี มิเพียงไม่ต่อสู้ขัดขืน หากถึงกับไม่หลบลี้หนีหน้า

อาฮุยชักกระบี่ออก พริบตานั้นในใจพลันบังเกิดลางสังหรณ์อันอัปมงคลชนิดหนึ่ง

 

นี่ความจริงเป็นสัญชาตญาณที่มีเฉพาะสัตว์ป่าเท่านั้น เฉกเช่นกับกระต่ายพลันรู้ตัวว่ามีจิ้งจอกร้ายลอบดูอยู่ในเงามืด

อาฮุยไม่กล้าลังเล เสือกกระบี่แทงไปทันที

กระบี่ที่คล้ายดาวตกจากฟ้าพุ่งใส่ทรวงอก พลันมีเสียงติงดังสนั่น ประกายไฟกระจายรอบข้าง กระบี่นี้ถึงกับคล้ายแทงใส่เหล็กกล้า

ที่แท้ที่ทรวงอกมีเหล็กแผ่นซ่อนอยู่ก่อนแล้ว

กระบี่แรกพอแทงออกร่างมันกลิ้งลงจากเก้าอี้ทันที แต่ร่างอาฮุยกลับทะยานขึ้นอากาศเนื่องจากทราบว่าประสบภัย แต่อาฮุยอย่างไรยังคงช้าไปวูบหนึ่ง

พริบตานั้นบนเพดานห้องมีตาข่ายผืนใหญ่ร่วงลงมา

ตาข่ายนี้ใหญ่เทียบเท่ากับห้องพอดี ขอเพียงในห้องมีคนมิว่าผู้ใดก็มิอาจหนีพ้นเด็ดขาด ร่างอาฮุยเพิ่งทะยานพ้นจากพื้น

ก็ถูกตาข่ายคลุมเอาไว้แล้ว

 

ในตอนนั้นเองมีเงาร่าง 2 สายพุ่งลงบนตาข่ายดุจปักษา ในมือของทั้งสองต่างถือท่อนไม้ไผ่เรียวยาวอย่างยิ่ง

ท่อนไม้ไผ่จี้ถี่เร็ว อาฮุยถูกจี้จุดสำคัญถึง 8-9 จุด

2 คนนี้ ผู้หนึ่งเป็นหลวงจีนชราร่างซูบผอม จีวรสีเทา ใบหน้าเหลืองซีดคล้ายเป็นโรคอยู่ตลอดทั้งปี

แต่ดวงตากลับมีประกายแวววาวราวเปลวไฟ

อีกผู้หนึ่งผอมแห้ง เตี้ยเล็ก จมูกงองุ้มราวปากเหยี่ยว ท่วงท่าก็คล้ายเหยี่ยวร้าย

ทั้ง 2 ต่างลงมือว่องไวดุจประกายไฟ นั่นคือ ซิมก่ำไต้ซือแห่งเสียวลิ้มยี่ กับ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง ผู้กระเดื่องดังในการจัดอันดับยอดอาวุธ ยอดฝีมือแห่งยุทธจักร

เซ็งเล่าซำมิได้อยู่ใต้โต๊ะแล้ว แสดงว่าใต้โต๊ะจะต้องมีอุโมงค์

แม้อาฮุยถูกจี้จุดแล้ว ยังคงส่งเสียงได้ แต่อาฮุยมิกล่าวเรื่องราวใดทั้งสิ้น และถึงกับมิได้ถามออกมา

“พวกท่านไฉนคำนวณแน่ว่าเราจะมาที่นี้”

 

อาฮุยมิได้ถาม แต่เราท่านซึ่งติดตาม “เรื่องราว” มาอย่างเกาะติด แต่ละฉาก แต่ละการเคลื่อนไหวย่อมบังเกิดเป็นคำถาม

ไม่เพียงถามไปยังซิมก่ำไต้ซือ ไม่เพียงถามไปยังแป๊ะเฮี่ยวเซ็ง

ปมเงื่อนอยู่ตรงที่ ซิมก่ำไต้ซือ แป๊ะเฮี่ยวเซ็ง รับรู้ปฏิบัติการของ “โจรดอกเหมย” ครั้งนี้ได้อย่างไร

จึงสามารถร่วมมือกับ “เซ็งเล่าซำ” ได้

ความน่าสนใจจึงไม่เพียงแต่การถูกจับคาหนังคาเขาของ “อาฮุย” ยังเป็นคำถามว่า “ลิ่มเซียนยี้” หายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร