ในประเทศ : เปิดเส้นทาง “รัฐมนตรี” ตท.12 “บิ๊กฉัตร-บิ๊กเต่า-บิ๊กอ้อ” เพื่อนรักค้ำจุน “ครม.ตู่ 5”

บริหารประเทศมา 3 ปีกว่า สำหรับการกุมบังเหียนเรือท่องรัฐนาวาของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

โดยบุคคลในคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีทั้งทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ พลเรือน คละเคล้ากันไป แต่ส่วนใหญ่สัดส่วนของทหารจะมากกว่าส่วนอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะรัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลปกติ นายกฯ จึงจำเป็นที่จะต้องพึ่งทหารเป็นหลัก แม้จะมีการปรับ ครม. มาแล้ว 4 ครั้งก็ตาม และกำลังจะมีการปรับ ครม.ตู่ 5 ในอีกไม่ช้า

แต่แวดวงสีเขียวเชื่อว่า รัฐมนตรีที่เป็นเพื่อนโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12) ใน ครม. ยังเป็นสายแข็ง มีเปอร์เซ็นต์สูงที่ยังอยู่ใน “ครม.ตู่ 5” ต่อไป เพราะมีสายสัมพันธ์เพื่อนรัก เพื่อนร่วมรุ่น และเป็นสายตรงนายกฯ!!!

คนแรก “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดนกระแสกดดันว่าถูกปรับออกจากตำแหน่งหลังจากผลงานไม่เข้าตา และกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรเป็นจำนวนมากที่ถาโถมกระหน่ำเข้ามา แต่ต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ฉัตรชัย เป็นไม้เป็นมือให้กับ “นายกฯ ลุงตู่” มาช้านาน

“บิ๊กฉัตร” เป็นเหล่าทหารช่าง เคยเป็นรองผู้การทหารช่าง เป็นฝ่าย เสธ. “บิ๊กเขียว” พล.อ.พัฑฒะนะ พุธานานนท์ ผู้บริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

จากนั้นโยกมาดูแลเงินของกองทัพบก ในตำแหน่ง รองเจ้ากรมการเงิน (รอง จก.กง.) เป็น จก.กง. ขึ้นเป็นรองปลัดบัญชี ทบ. และเป็นปลัดบัญชี ทบ. ที่คุมงบฯ เป็นหมื่นล้านบาท

ก้าวขึ้นเป็นผู้ช่วย เสธ.ทบ. ส่งกำลังบำรุง (จัดซื้อจัดจ้าง) เติบโตตามลำดับจนเกษียณที่ตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ.

โดยจุดที่ทำให้สายสัมพันธ์กับ “บิ๊กตู่” แน่นปึ้กขึ้นนั้น ในช่วงหลังปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ทั้ง “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กฉัตร” ได้เรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (วปอ.) รุ่นที่ 50 ทำให้มีความสนิทสนมกันมากขึ้น

จนมีคนเม้าธ์กันว่า “บิ๊กฉัตร” คอยกันไม่ให้ใครเข้าใกล้หรือตีสนิท “บิ๊กตู่” มากกว่าตนเอง แม้แต่ฉายา “นมชง” ก็ได้มาเพราะนายจะเอาอะไรก็ได้หมด

อีกทั้งนอกเหนือเวลางาน “บิ๊กตู่” จะไปออกรอบตีกอล์ฟ ก็มี “บิ๊กฉัตร” เป็นหนึ่งในก๊วนที่ไปตีกอล์ฟด้วยเสมอ กินเที่ยวด้วยกัน

ดังนั้น ทำให้กลายเป็นคนที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ไว้ใจให้ดูแลเรื่องเงิน

จนกระทั่งหลังปฏิวัติ 22 พฤษภาคม 2557 ก็ให้ “พล.อ.ฉัตรชัย” นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ “ครม.ตู่ 1” จนกระทั่ง “ครม.ตู่ 3” ก็สลับให้มานั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่นั่งเป็นเสนาบดี ก็จะถูกเลื่อยขาเก้าอี้มาโดยตลอด มักมีชื่อเป็นลำดับต้นๆ ที่จะถูกปรับออกเสมอ ช่วงการปรับ “ครม.ตู่ 4” มีข่าวลือว่าเจ้าตัวมีความพยายามต้องการย้ายไปคุมพลังงาน

แต่ท้ายสุดวันนี้ “บิ๊กฉัตร” ยังอยู่ที่เดิม…

ขณะที่ “บิ๊กเต่า” พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นทหารเหล่าราบ เติบโตในอาชีพราชการที่ศูนย์การทหารราบ (ศร.) จ.ประจวบคีรีขันธ์

ต่อมาได้ทำงานสายกิจการพลเรือนทหารบก ภายในกองทัพบกมาโดยตลอด

เมื่อ “บิ๊กตู่” เข้ามาเป็น เสธ.ทบ. ทำให้มีความใกล้ชิดและสนิทสนมกันยิ่งขึ้น โดยนิสัย “บิ๊กเต่า” เป็นคนเฮฮา พูดเก่ง คุมง่าย ทำให้งานด้านวางแผน อำนวยการ ประสานงาน กำกับการ และดำเนินการเกี่ยวกับงานกิจการพลเรือนและงานที่ได้รับมอบหมายที่ดำเนินต่อการสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารและการปกครองได้เป็นอย่างดี

จนกระทั่งมาเป็นหัวหน้าฝ่าย เสธ. ของ “บิ๊กตู่” สมัยเป็น ผบ.ทบ. และถูกส่งมาเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม

ภายหลังปฏิวัติปี 2557 “บิ๊กเต่า” ถูกดันขึ้นรักษาการปลัดกระทรวงกลาโหม จากการที่มีคำสั่งแขวน “บิ๊กแป๊ะ” พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก และได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน “ครม.ตู่ 1”

ช่วงนั้นก็ถูกโจมตีจากคนแรงงานเช่นกันว่า ไม่มีผลงาน ผลงานไม่เข้าตา

จนท้ายที่สุดเมื่อมีการปรับ “ครม.ตู่ 2” ก็ย้ายสลับมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่ทวงคืนผืนป่า

อย่างไรก็ดี แม้จะไม่ถูกโจมตีหรือทำอะไรจนผิดพลาด แต่ก็ไม่มีผลงานให้เข้าตาด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ก็หนีไม่พ้นถูกคนในกระทรวงทรัพย์วิจารณ์ว่า “บิ๊กเต่า” ไม่ค่อยอยู่ทำงานในกระทรวง มัวแต่บินไปประชุมต่างประเทศบ่อยๆ

ส่วน “บิ๊กอ้อ” พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นเหล่าทหารม้า มีความเก่ง ฉลาด จึงได้ไปเรียนต่อที่วิทยาลัยทหารซิตาเดล รัฐแคลิฟอร์เนีย และศิลปศาสตรมหาบัณฑิต คณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ และกลับมาเติบโตในเส้นทางราชการ

ที่สำคัญคือ ผู้บัญชาการกองพลที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) เป็นหนึ่งในกองพลที่คุมกำลังรถถัง ยานเกราะ หากจะมีการปฏิวัติ นี่คือหนึ่งในกองพลที่สำคัญ

จากนั้นก็มาเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 (มทน.1) ขยับมาเป็นผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายข่าว ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก

ว่ากันว่า ความสัมพันธ์ที่ทำให้ “บิ๊กตู่-บิ๊กอ้อ” เริ่มสนิทกันมากขึ้นตอนที่ “บิ๊กตู่” เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 เนื่องจาก “บิ๊กตู่” ชอบคนเก่ง โดยเฉพาะ “บิ๊กอ้อ” เรียนจบจากต่างประเทศ จึงคอยช่วยในเรื่องภาษาที่นายกฯ ไม่ค่อยชำนาญมากนัก อีกทั้งเป็นมือประสานงานฝ่ายต่างๆ

ดังนั้น หลังการปฏิวัติปี 2557 จึงตั้งให้เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หรือคำในวงการเรียกว่า “นายกฯ น้อย”

แต่จริงๆ แล้ว เพื่อน ตท.12 ที่สนิทกับ “บิ๊กตู่” มีอีก 3 คน อาทิ “บิ๊กแอ๊ด” พล.ต.กลชัย สุวรรณบูรณ์ ที่สมัยรับราชการทำงานในพื้นที่ภาคใต้ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และอดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดชุมพร ตำแหน่งล่าสุดคือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

ขณะที่ “บิ๊กยาว” พล.อ.ยุวนัฎ สุริยกุล ณ อยุธยา สมาชิก สนช. เช่นเดียวกัน อดีตหัวหน้าสำนักงานผู้บัญชาการทหารบก และบางคนมองว่าเป็นที่ปรึกษาใกล้ตัวให้ “บิ๊กตู่” เลยทีเดียว เมื่อครั้งหนึ่งมีชื่อเข้าชิง “เลขาธิการนายกรัฐมนตรี” ในช่วง “ครม.ตู่ 1”

ท้ายสุด “บิ๊กเยิ้ม” พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ช่วงหลังออกแนวฮาร์ดคอร์ เดินหน้าชนจนเป็นประเด็นการเมืองหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 คน ว่ากันว่าเป็นบัดดี้ “บิ๊กตู่” สมัยเรียนในรั้ว ตท. เลยก็ว่าได้ ดังนั้น การที่ “บิ๊กแอ๊ด-บิ๊กยาว-บิ๊กเยิ้ม” ถูกส่งมาอยู่ในตำแหน่ง สนช. และ สปท. คอยเป็นหูเป็นตาในการประชุมเรื่องสำคัญๆ เหมือนมี “บิ๊กตู่” มาร่วมประชุมด้วยตนเอง!!!

อย่างไรก็ตาม ในห้วงที่จะปรับ “ครม.” ในเร็วๆ นี้ นายกฯ จะตัดสินใจปรับเพื่อนรักออกจาก ครม. หรือจะเป็นเพียงแค่การปรับย้ายกระทรวง ตามที่มีกระแสข่าวโยก “บิ๊กฉัตร” อาจไปอยู่กระทรวงแรงงาน แทน “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่เพิ่งจะลาออกไป

หรือ รมต.เพื่อน ตท.12 คนอื่นต้องปรับเปลี่ยนด้วยหรือไม่ เร็วๆ นี้ได้รู้กัน…