เช็กแผงหลัง ‘พี่ป้อม-น้องตู่’ ทันเกม ทันกัน กับปฏิบัติการของ ‘ท่านใหม่’

เช็กแผงหลัง ‘พี่ป้อม-น้องตู่’ ทันเกม ทันกัน จับทาง ‘ผู้กองนัส-เสธ.หิ’ ถอดรหัสอีลิต กับปฏิบัติการของ ‘ท่านใหม่’

 

บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่าเพิ่งเป็นการนอนโรงพยาบาลครั้งแรก เมื่อต้องรักษาอาการมือบวม อักเสบเพราะติดเชื้อ ต้องผ่าเอาน้ำเหลืองออก ทำให้ต้องใส่เฝือกอ่อนมาทำงาน และต้องให้ยาปฏิชีวนะทางสายน้ำเกลือตลอดสัปดาห์

ฝ่ายกองเชียร์ระบุว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ก่อนวันเกิด 21 มีนาคม และก่อนยุบสภา จากนี้ไปจะมีแต่สิ่งดีๆ โชคดีไปจนชนะเลือกตั้ง ได้กลับมาเป็นนายกฯ สมัยที่ 3

แต่ฝ่ายต่อต้าน ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะโดน “ของ” เช่นที่นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช ปชป.ทักไว้หรือไม่ ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์เดินสายทำพิธีไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อต่างๆ ตอนลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะที่วัดยางใหญ่ ไหว้บูชาตาพรานบุญ

แถมทั้งตอนลงพื้นที่อยุธยา ก็เป็นทริปสายมูอีกครั้ง ที่คราวนี้ สมเด็จธงชัย วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร มารอทำพิธีให้ที่วัดปากปูน วัดที่ พล.อ.ประยุทธ์มาสร้างพระปางนาคปรก วันเกิดไว้

ด้วยรู้กันดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ให้ความเคารพนับถือสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือสมเด็จธงชัย อย่างมาก เพราะท่านคอยให้คำแนะนำในด้านต่างๆ

จนร่ำลือกันว่า แนะนำให้ตั้ง “นรสิงห์” ที่ระเบียงหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ตรงกับศาลพระพรหม บนยอดตึก และให้กราบไหว้บูชาเป็นองค์หลักในทำเนียบรัฐบาล

แม้แต่ครุฑ อ.วราห์ ที่เคยตั้งในห้องทำงานนายกฯ บนตึกไทยคู่ฟ้า ก็ไม่ปรากฏภาพตอนที่เปิดห้องทำงานในวันเด็กที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวการเปลี่ยนดวง ชุบดวงใหม่

แต่ที่เป็นที่จับตามองคือ การที่พระแสงดาบ ที่จะถวายสมเด็จพระนเรศวรฯ ตกจากแท่น ฝ่ายตรงข้ามมองว่า เป็นลางร้ายที่ดาบหล่น แม้จะตกใส่แขนนายกฯ ไม่ตกลงพื้นก็ตาม

อย่างไรก็ตาม กองเชียร์นายกฯ มองว่า การที่ดาบตกใส่แขน เป็นการมอบดาบอาญาสิทธิ์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ในการต่อสู้ฟาดฟันเพื่อให้มีชัยชนะ

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์นอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ พี่ใหญ่อย่างบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ไปทำบุญ ถวายสังฆทาน วันมาฆบูชา และไหว้กรมสมเด็จพระราชวังบวรฯ

ก่อนที่วันรุ่งขึ้น มาประชุม ครม. เจอหน้า พล.อ.ประยุทธ์ และให้สัมภาษณ์ว่า “เราเจ็บเท้า นายกฯ เจ็บมือ เสมอกัน” ที่ถูกตีความว่าเป็นนัยยะของการแข่งขัน และเป็นคู่ชิงเก้าอี้นายกฯ กันอีกด้วย

เพราะเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร ดูจะแข่งกันเอง ทั้งตัวบุคคล ทั้งการสร้างคะแนนนิยม และการต่อสู้ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่าใครจะได้ ส.ส.มากกว่า และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และเป็นนายกรัฐมนตรี

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์มีความมั่นใจกับกองหนุน กองเชียร์ และแผงหลัง ทั้งที่เปิดหน้า และที่อยู่เบื้องหลัง ว่าจะทำให้ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย เพราะลงทุนลงแรงทุกอย่างไปกับพรรค รทสช.อย่างมาก เรียกได้ว่า เทหมดหน้าตัก

ทั้งความมั่นใจในทีมงานของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีตุ๋ย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค ที่ พล.อ..ประยุทธ์ชื่นชมในความเป็นนักกฎหมายและอดีตผู้พิพากษา รวมถึงเป็นสายเลือดทหาร และรักที่จะเป็นทหาร แต่มีปัญหาสายตา จึงไม่ได้สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร และแกนนำพรรค ที่เลือกที่จะทิ้งพรรคพลังประชารัฐ ตามมาอยู่ด้วย

และมั่นใจในแผงหลังที่ไม่ได้เปิดเผยหน้า แต่รู้กันว่า เป็นกองหนุนอยู่ ทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. ที่ก็มีขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มาเป็นเลขาธิการพรรค รทสช. และแกนนำ กปปส.เดิม และบรรดาแฟนคลับ

หากเป็นเมื่อก่อน มีการมองว่ากองหนุนสำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์ คือป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่มักแสดงออกเช่นนั้นมาตลอดที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ

ตอนนี้ เมื่อไม่มี พล.อ.เปรมแล้ว ขั้วอำนาจบ้านสี่เสาเทเวศร์ ถูกมองว่า มีบิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ลูกป๋าคนโปรด ที่ขึ้นมาเป็นเสมือนผู้นำจิตวิญญาณแทนของสายอนุรักษนิยม ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็ให้ความเคารพรัก พล.อ.สุรยุทธ์มาตลอด

ในขณะที่ พล.อ.ประวิตรถูกมองว่า มีปัญหาคาใจกับ พล.อ.สุรยุทธ์ ตั้งแต่ในกองทัพ ที่เคยถูก พล.อ.สุรยุทธ์เมื่อครั้งที่เป็น ผบ.ทบ. เด้งเข้ากรุ แต่ที่สุดก็กลับมา จนเป็น ผบ.ทบ.ได้ในยุคนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ

และย้อนกลับไปตั้งแต่ พล.อ.เปรมยังมีชึวิตอยู่ พล.อ.ประวิตรก็ถูกมองว่าอำนาจและบารมีเฟื่องฟูขึ้นมาจนเทียบชั้นป๋าเปรม ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ 3 ป. บูรพาพยัคฆ์ และเป็นในช่วงที่บูรพาพยัคฆ์เรืองอำนาจมายาวนานกว่า 10 ปี

จน พล.อ.ประวิตรเคยออกมาให้สัมภาษณ์สยบข่าวว่า ไม่เคยคิดวัดรอยเท้าป๋า และไม่มีปัญหากับ พล.อ.สุรยุทธ์ ยังเคารพนับถือในฐานะอดีตผู้บังคับบัญชาและรุ่นพี่ เรื่องในอดีตมันผ่านไปแล้ว

ไม่แค่นั้น ฝ่ายกองหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังมีอดีตบิ๊กทหาร ที่ถูกพาดพิงเสมออย่างบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ. ในฐานะที่เป็นน้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์มาตั้งแต่ยังอยูในกองทัพ และจนเมื่อเกษียณจากกองทัพบกแล้วก็ตาม จนถูกมองว่าเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์เลยทีเดียว

โดยเฉพาะเมื่อถูกเชื่อมโยงกับการที่นายพีระพันธุ์ เพื่อนรุ่นพี่ ตั้งแต่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ที่ได้มาทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ ก่อนที่จะเตรียมตั้งพรรค รทสช.ให้ มาเงียบๆ และเปิดตัวเป็นหัวหน้าพรรค และมาเป็นเลขาธิการนายกฯ อยู่เคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ตลอดเวลา

แถมยังถูกสื่อบางสำนักเชื่อมโยงกับการที่นายเขตต์รัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ย้ายจากพรรครวมพลัง ของนายสุเทพ มาอยู่พรรค รทสช. และได้ลงสมัคร ส.ส.เขตคลองเตย ที่มีการแข่งขันกันเองสูงในพรรค

จนทำให้มีการปล่อยข่าวโจมตีว่า เพราะเป็นเครือญาติของคู่หมั้นของลูกชาย พล.อ.อภิรัชต์ ที่เป็นการสะท้อนว่า ในแวดวงการเมือง ต่างมีความเชื่อว่า พล.อ.อภิรัชต์ยังมีบทบาทสำคัญช่วย พล.อ.ประยุทธ์อยู่เบื้องหลัง

แม้ว่า พล.อ.อภิรัชต์จะเคยปฏิเสธว่า ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องใดๆ กับทางการเมือง เพราะอยู่ในสถานภาพที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ความรู้จักส่วนตัวกันเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธ

จึงไม่แปลกที่ยังมีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของ พล.อ.อภิรัชต์ กับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตั้งแต่ออกมาเคลื่อนไหว แฉขบวนการทุนจีนสีเทา และมีการเชื่อมโยงไปที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มือขวาของ พล.อ.ประวิตร

เรื่อยมาจนถึงบทบาทนายชูวิทย์ที่โจมตีพรรคภูมิใจไทย ก่อศึกกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ทั้งเรื่องกัญชาและรถไฟฟ้าสายสีส้ม

ที่ทำให้พรรค รทสช.ถูกต้องสงสัยว่า เกี่ยวข้องหรือไม่ กับความเคลื่อนไหวของนายชูวิทย์ จากการที่ เสธ.หิมาลัย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรค รทสช. ยอมให้นายชูวิทย์เข้ามาร้องเรียนถึงในทำเนียบ

และได้พบกับนายพีระพัรธุ์ แตกต่างจากผู้มาร้องเรียนรายอื่นๆ ที่จะยื่นเรื่องแค่ที่ศูนย์รับเรื่อง นอกทำเนียบเท่านั้น

จนทำให้นายอนุทินต้องสอบถามเชิงตัดพ้อไปที่ พล.อ.ประยุทธ์

ก่อนที่จะมีกระแสข่าวว่าได้รับคำขอโทษจากนายกฯ และกำชับให้พรรค รทสช. เป็นสุภาพบุรุษ ไม่โจมตีใครในการหาเสียง พร้อมให้ เสธ.หิมาลัยชี้แจง ทั้งผ่านสื่อ และพยายามโทร.หานายอนุทิน แต่ก็ไม่รับสาย ที่ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นระหว่างพรรครวมไทยสร้างชาติ กับพรรคภูมิใจไทย ทั้งๆ ที่นายอนุทินเป็นพันธมิตรที่คอยสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์มาตลอดให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ

แต่แล้วนายศักดิ์สยามก็ถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ รมว.คมนาคม จากเรื่องซุกหุ้น

ที่ก็มีเสียงซุบซิบตามมาว่า มีอะไรในกอไผ่หรือไม่

 

เป็นที่รู้กันว่า เสธ.หิมาลัย คือน้องรักทหารเสือฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเคยอยู่ ร.21 รอ.มาด้วยกัน และวัดใจกันมาแล้ว ด้วยการแยกทางเดินกับ ร.อ.ธรรมนัส เพื่อนรัก ตท.25 ที่เติบโตมาในสายคนมีสีมาด้วยกัน หลังจากที่ ร.อ.ธรรมนัสเดินแผนล้ม พล.อ.ประยุทธ์ในสภา จนถือว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามของนายกฯ

เสธ.หิมาลัยเลือกมาอยู่ข้างนายกฯ และมาช่วยงาน รทสช.อยู่เบื้องหลัง แต่ยังรับตำแหน่งใดไม่ได้ เพราะเคยติดคุกคดีริ้อบาร์เบียร์กับนายชูวิทย์มา

เมื่อ พล.อ.ประวิตร มี ร.อ.ธรรมนัส แมวสีเทา เอาไว้จับหนู ทำงานลับให้ พล.อ.ประยุทธ์ก็มี เสธ หิมาลัย ที่ก็เคยเป็นทหารสีเทา มาช่วยงาน ทั้งบนดินและใต้ดินเช่นกัน

ในขณะที่พรรค รทสช.กำลังมีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคภูมิใจไทย ก็ยังเกิดเรื่องกับพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภา และอดีตหัวหน้าพรรค ปชป. แฉว่า มีบางพรรคดูดคนของ ปชป.ด้วยเงิน 200 ล้านบาท จนนายชุมพล กาญจนะ ที่ย้ายจาก ปชป.ไปพรรค รทสช. ต้องออกมาปฏิเสธข่าว และนำมาซึ่งวิวาทะของลูกพรรคทั้ง 2 ฝ่าย

แต่การหาเสียงที่ทำให้พรรค รทสช.ของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกวิจารณ์มากที่สุด คือ การอ้างสถาบัน ด้วยการยกพระราชดำรัสของ ร.9 มาเชื่อมโยงให้เลือกคนดีอย่าง พล.อ.ประยุทธ์

ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมไม่น้อย

 

ในขณะที่พรรคของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร กำลังสู้กันอย่างเข้มข้น พล.อ.ประวิตรก็เดินหน้าในการแยกตัวเองออกจากฝ่ายเผด็จการ และพยายามจะบอกว่า ตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ด้วยการใช้จดหมายเปิดใจออกมาเป็นระยะๆ หลายฉบับผ่านเพจของ พล.อ.ประวิตร ที่ทำโดยทีมงานพรรค พปชร. แต่เป็นเรื่องที่ พล.อ.ประวิตรได้เล่าให้ทีมงานฟัง และเขียนออกมา โดยที่ พล.อ.ประวิตรได้อ่านทุกตัวอักษรแล้ว

ด้วยการตอกย้ำว่า พล.อ.ประวิตรไม่ได้ร่วมในคณะรัฐประหาร เพราะเกษียณมานานแล้ว แต่ก็ได้รับการร้องขอให้มาช่วยงาน เป็นรองนายกฯ และ รมว.กลาโหมในรัฐบาล คสช. ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ 3 ป.ของ พล.อ.ประยุทธ์

และในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ปรารถนาที่จะอยู่ในอำนาจต่อ จึงได้มาช่วยตั้งพรรคพลังประชารัฐ แต่ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ก็ไปตั้งพรรคใหม่ รทสช. และเอาตัวรอด ทิ้ง พปชร.ไป จน พล.อ.ประวิตรต้องมาดูแลต่อไป และอาสาที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี

ก่อนจะตามมาด้วยไอเดียก้าวข้ามความขัดแย้ง ที่ถูกมองว่า เป็นการล้างภาพของ พล.อ.ประวิตร จากฝ่ายทหารเผด็จการ สู่การเป็นประชาธิปไตย เพื่อเตรียมไปจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ตามที่เคยมีกระแสข่าว บิ๊กดีล มาตลอดนั่นเอง

ที่หนักกว่านั้น คือ การโจมตีไปที่กลุ่มคนบางกลุ่มในฝ่ายอนุรักษนิยม และกลุ่มอีลิต ที่ยังสนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหาร เพื่อนำคนเข้ามาบริหารประเทศ พวกที่ครองอำนาจด้วยวิธีพิเศษ แล้วมาตั้งพรรคการเมือง แต่ที่สุดก็ต้องแพ้ต่อเสียงประชาชน

พล.อ.ประวิตรเชื่อว่า ประชาชนจะเป็นผู้เลือกคนที่มีความสามารถเข้ามาบริหารประเทศ ผ่านการเลือกตั้ง และนักการเมืองคือคนที่ใกล้ชิดและประชาชนไว้วางใจมากกว่า แต่ก็ยอมรับว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้ ที่ยังเชียร์ให้รัฐประหารยังมีอยู่

พล.อ.ประวิตรจึงขอโอกาสให้ตนเองได้เป็นนายกฯ เพื่อนำประเทศก้าวข้ามความขัดแย้ง จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา จากคอนเน็กชั่นที่มีอยู่ ขอให้เชื่อผมสักครั้ง ว่า ผมทำได้ และทำได้ดีกว่าใคร

https://www.facebook.com/chulcherm.yugala/posts/pfbid0akvXQ4WvaWRYGFJXYmwpNaJ7wJmNXbQ62Mod3TnG3ZkAkkmF3noKNK3wDJRi4EzVl

แต่ที่น่าจับตาคือ ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร ในการแสดงให้เห็นว่า ก็เป็นนายทหารเสือราชินี ทหารรักษาพระองค์เก่า ที่มีความจงรักภักดีมาตลอด ตั้งแต่เป็นนายทหารจนปัจจุบัน ราวกับจะเป็นการชี้เป้าไปที่พรรค รทสช. และกองเชียร์ที่พยายามชู พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนที่จงรักภักดีอยู่เพียงคนเดียว โดยเฉพาะคำปราศรัยของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี แกนนำพรรค รทสช. และประธานที่ปรึกษานายกฯ ที่นครราชสีมา

จากนั้น ท่านใหม่ ม.จ.จุลเจิม ยุคล ราชนิกุลคนสำคัญ ที่มีผู้ติดตามเฟซบุ๊กจำนวนมาก ได้โพสต์ถึง พล.อ.ประวิตร โดยสนใจแนวคิดก้าวข้ามความขัดแย้ง และต้องการรู้ว่ากลุ่มอีลิตที่ระบุนั้น หมายถึงใคร อย่างไร

จากนั้น ท่านใหม่ก็เปิดภาพไปนั่งพบปะดื่มกาแฟกับ พล.อ.ประวิตรแค่ 2 คน โดยไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นที่ใด

แต่มีรายงานว่า ไม่ใช่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ โดย พล.อ.ประวิตรเลือกที่จะต้อนรับท่านใหม่ที่บ้านอัมพวัน ที่ทำการคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ที่ พล.อ.ประวิตรเป็นประธาน และเป็นที่ทำงานอีกแห่งหนึ่ง ที่อยู่เยื้องกับอดีตบ้านสี่เสาเทเวศร์เดิม และเห็นว่าไม่ไกลเกินไป

หลักใหญ่ใจความที่ท่านใหม่เปิดเผยผ่านเพจ ถึงการพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร คือ การส่งสัญญาณเตือนผ่านไปถึงบางพรรคการเมือง ที่กำลังดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องในทางการเมือง แต่ไม่ได้ระบุว่า หมายถึงพรรคการเมืองใด

แต่การที่ท่านใหม่เลือกที่จะมาคุยกับ พล.อ.ประวิตร พร้อมยินดีที่พรรคของ พล.อ.ประวิตรไม่ดึงสถาบันมาเล่น ถูกมองว่ามีอะไรหรือไม่

“การเมืองผมไม่ยุ่งเกี่ยว เป็นหน้าที่ของนักการเมือง เพียงแต่ผมขอร้องว่าอย่าเอามือ (พรรคการเมือง) ไปปิดพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ทำคุณประโยชน์ให้เราเหลือคณานับ ผมได้คุยกับลุงป้อมหลายๆ เรื่อง ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดีมาก พร้อมขออย่าดึงฟ้ามาเล่น แล้วอย่าเอามือไปปิดพระอาทิตย์ เหมือนบางคน บางพรรคการเมือง ไม่ดีหรอก ซึ่งลุงป้อมรับปากว่า เรื่องนี้ต้องทำ และอยู่ในใจตลอดแน่นอน (ไม่ว่าได้เป็นนายกฯ หรือไม่) เพราะในฐานะเป็นทหารเก่า ตั้งแต่ร้อยตรี ถึงพลเอก ย่อมจะมีความจงรักภักดี และทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมได้ฟังแล้ว รักลุงป้อมเลย” ท่านใหม่ระบุ

ในขณะที่ พล.อ.ประวิตรดูเหมือนจะเคยเสียเปรียบ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มี พล.อ.อภิรัชต์เป็นกองหนุน แต่มาตอนนี้ มีการมองว่า อย่างน้อย พล.อ.ประวิตรก็มีท่านใหม่ ที่แสดงความสนใจแนวคิด และถึงขั้นมาพบหารือด้วย

 

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ ถูกมองว่ามีนัยยะสำคัญ ในแวดวงกลุ่มที่เรียกว่าอีลิต หรือขุนนางศักดินา ที่หลายคนอาจมีความคิดเห็น หรือทัศนคติที่ไม่ตรงกันในเรื่องแนวทาง แต่ปลายทาง ทุกคนต้องการเทิดทูนและรักษาไว้ซึ่งสถาบันเช่นกัน

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งยอมรับกับสื่อว่า คำถามสำคัญที่เคยถามหรือคุยกับ พล.อ.ประวิตร คำถามหนึ่งคือเรื่องบื๊กดีลกับพรรคเพื่อไทย ว่าจริงหรือไม่

แต่คำตอบที่ พล.อ.ประยุทธ์เผยว่าได้จาก พล.อ.ประวิตร คือท่านบอกว่า ยังไม่เคยไปสัญญาอะไรกับใคร แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ถาม พล.อ.ประวิตร คือเรื่องที่ไปคุยกับท่านใหม่

“เป็นสิทธิ์ของท่าน ที่จะคุยกับใคร เพราะรู้จักกัน อย่ามองในแง่ไม่ดี แต่ท่านบอกไม่มีอะไร ทักทายกันธรรมดา ผู้หลักผู้ใหญ่คุยกัน” พล.อ.ประยุทธ์เล่า

ที่ทั้ง 2 คำถามนี้ เป็นการสะท้อนว่า พล.อ.ประวิตรไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการพูดคุยกับพรรคเพื่อไทย แต่แค่บอกว่า ยังไม่ได้ตกปากรับคำอะไร ส่วนเรื่องท่านใหม่นั้น พล.อ.ประวิตร ดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากเล่าว่าได้คุยอะไรบ้าง และเสมือนตัดบทไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ถามอะไรมากนัก ด้วยคำที่ว่า ผู้หลักผู้ใหญ่คุยกัน

แต่แน่นอนว่า ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์คงจะจับตามองความเคลื่อนไหวนี้ ที่ดูจะสอดรับกันพอดีกับปฏิบัติการเดินหน้ายึดเก้าอี้นายกฯ ของ พล.อ.ประวิตร พร้อมๆ กับการเสริมภาพลักษณ์เรื่องทหารผู้จงรักภักดี

พล.อ.ประวิตรจึงถูกมองว่า จะเป็นคีย์แมนที่จะถอดสลักการรัฐประหาร หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และยอมให้ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกฯ เดินหน้าสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้ง แม้จะเสี่ยงต่อการเกิดเงื่อนไขไปสู่ความวุ่นวายและการรัฐประหาร หากมีการยอมให้นายทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศ โดยไม่ต้องรับโทษก็ตาม

บูรพาพยัคฆ์เฒ่า อย่าง พล.อ.ประวิตร ที่แม้ขาไม่แข็งแรง ไม่คล่องแคล่ว แต่ทว่า เขี้ยวเล็บแหลมคม พร้อมตะปบเหยื่อแบบไม่พลาดเป้า แต่ก็ต้องวัดกับพลังอำนาจของทหารเสือฯ ผู้น้อง ที่มีอำนาจเต็มมือ ทั้งแบบที่มองเห็น และที่รู้สึกได้ว่ามีอยู่ โดยเฉพาะกองหนุนที่เป็นกลุ่มอนุรักษนิยม ที่ก็ล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น อีกทั้งมีกองทัพอยู่ในมืออีกด้วย

ศึกครั้งนี้ จึงน่าติดตามยิ่ง