สุขของคนฟินแลนด์ ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก

ทวีศักดิ์ บุตรตัน

การที่ฟินแลนด์ได้รับเลือกให้เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกติดต่อกัน 5 ปีตั้งแต่ปี 2561 จากเดิมที่เคยเป็นประเทศที่ผู้คนมีรายได้ต่ำสุดแห่งหนึ่งของยุโรป มีสภาพภูมิอากาศอันหนาวเหน็บไม่สามารถเพาะปลูกพืชให้เติบโตงดงามได้เลย การพลิกฟื้นของฟินแลนด์จนผงาดเป็นประเทศที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน เศรษฐกิจเติบโต ผู้คนมีรายได้สูง สิ่งแวดล้อมสวยงามและเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ย่อมแสดงให้เห็นว่าฟินแลนด์วางรากฐานให้สังคมแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

ส่วนสำคัญที่ทำให้ฟินแลนด์มีสังคมแข็งแกร่งเพราะระบบการศึกษาให้เด็กๆ ได้รับการอบรมบ่มเพาะความรู้และการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขเจริญก้าวหน้า จนได้ชื่อว่าเป็นระบบการศึกษาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ครูในประเทศฟินแลนด์มีมาตรฐานการศึกษาเป็นเลิศ ส่วนใหญ่จบปริญญาโท ผ่านการอบรมการสอนอย่างเป็นระบบ

จึงไม่แปลกที่ครูฟินแลนด์สามารถปั้นเด็กๆ ให้คิดเป็นทำเป็น เข้าถึงการเรียนรู้ตามความถนัด มุ่งเน้นสอนให้เด็กร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ ไม่แข่งเรียนเอาเกรดดีๆ หรือเลือกเฟ้นเฉพาะเด็กเก่งทิ้งเด็กเรียนอ่อนเหมือนบ้านเรา

โรงเรียนทุกแห่งในฟินแลนด์จัดอาหารให้เด็กกินฟรี จัดแผนกให้คำปรึกษาแนะแนวทั้งการเรียนและจิตวิทยา

ระบบการศึกษาต่อเนื่องในทุกช่วงอายุ หลักสูตรส่วนใหญ่เน้นการสันทนาการ รู้สึกสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ครูให้การบ้านน้อยๆ ไม่ยัดเยียดเนื้อหาที่ทำให้เด็กเกิดความเครียด

 

ระบบสาธารณสุขของฟินแลนด์เน้นให้ประชาชนมีความรู้ด้านการป้องกันโรคมากกว่าการรักษาโรค ส่งเสริมให้คนปรับเปลี่ยนทัศนคติความเข้าใจใหม่ๆ ในทางการแพทย์ เช่น วางเป้าหมายให้คนเลิกบุหรี่ รณรงค์ชี้ชวนให้เห็นโทษของการสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์ เพิ่มภาษีให้สูงขึ้นจัดโครงการรักษาผู้ต้องการเลิกสูบบุหรี่ เลิกเหล้า แต่เมื่อประชาชนเจ็บไข้ได้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาโรคอย่างมีประสิทธิภาพ

การบริหารจัดการของภาครัฐของฟินแลนด์เป็นไปอย่างโปร่งใส บริการอย่างเท่าเทียม ทุกคนได้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของรัฐ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนในการตัดสินใจในนโยบายของภาครัฐ

การคอร์รัปชั่นในภาครัฐของฟินแลนด์ แทบจะกล่าวได้ว่าเป็นศูนย์

ที่น่าสนใจคือสังคมฟินแลนด์มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ส่งผลทำให้สังคมอยู่อย่างมีความสุข ไม่หวาดระแวง ดังจะจากผลการศึกษาการวางกระเป๋าสตางค์ไว้ในที่สาธารณะ 12 ครั้ง ปรากฏว่า 11ครั้งมีคนเก็บกระเป๋าไปส่งให้เจ้าหน้าที่แจ้งหาเจ้าของ

นี่เป็นความซื่อสัตย์ของชาวฟินนิชที่ไม่เอาของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ส่วนสถิติการก่ออาชญากรรมต่ำมากไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ

ฟินแลนด์จึงได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

 

ชาวฟินนิชใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับธรรมชาติ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ต้องไปสวนสาธารณะ เดินป่าชื่นชมพันธุ์ไม้ ต้นหญ้า สัตว์ป่า ฟังเสียงนกร้องขับขาน ทำกิจกรรมที่สร้างเสริมสุขภาพแข็งแรงเช่นว่ายน้ำในทะเลสาบ ปีนเขา เก็บผลไม้ ขี่ม้า ทุกกิจกรรมนี้ รัฐจัดให้ฟรีในพื้นที่สาธารณะ

การได้สัมผัสกับธรรมชาติทำให้ชาวฟินนิชลดความเครียด เติมความสุขอย่างง่ายๆ

การวางรากฐานให้คนมีระดับการศึกษาสูง เสริมสร้างทักษะความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ตามความถนัด มีทัศนคติตรงกันว่าทุกคนต้องอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะมีอาชีพอะไร

ขณะที่ภาครัฐบริหารงานอย่างโปร่งใสซื่อสัตย์ล้วนมีผลทำให้ฟินแลนด์เป็นประเทศมีบุคลากรที่มีศักยภาพสูง

ชาวฟินนิชคิดค้นพัฒนาวิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆ นำไปสู่การสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากการพัฒนาระบบการสื่อสารของบริษัทโนเกียเมื่อ 30 ปีที่แล้ว จนสามารถประดิษฐ์โทรศัพท์มือถือออกวางขายทั่วโลก คิดค้นระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะด้านดิจิทัล และการแพทย์เทคโนโลยีสะอาดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

วันนี้ชาวฟินแลนด์มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 3,794 ยูโร (ราว 140,000 บาท) ค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 2,000 ยูโรต่อเดือน คุณภาพชีวิตอยู่ในระดับต้นๆ ของโลก เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ประเทศฟินแลนด์ถูกจัดอันดับให้เป็นดินแดนที่คนมีความสุขที่สุดในโลก

 

วกกลับมาดูคนไทย ถามว่าทุกคนมีความสุขแค่ไหนกับสถานการณ์ที่เป็นไปในขณะนี้

มั่นใจได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีความสุขสักเท่าไหร่

ตัวชี้วัดประการแรกนั่นคือ คนไทยจนลง ดูได้จากการยื่นขอบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือคนจนมากขึ้นเป็น 20 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของคนไทยทั้งประเทศ

ในรายงานดัชนีความสุขของคนไทยเมื่อปีที่แล้วอยู่อันดับที่ 53 ของโลกได้คะแนน 5.985 ในอาเซียนไทยเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือ สศช. มองว่า นิยามของความยากจนไม่ได้มีเพียงเรื่องตัวเงินอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการขาดแคลน ขัดสนหรือขาดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อชีวิตความเป็นอยู่ และไม่สามารถเข้าถึงบริการและความช่วยเหลือของรัฐ

สศช.บอกว่า เมื่อปี 2564 สถานการณ์ด้านคุณภาพ ส่งผลต่อปัญหาความยากจนหลายด้าน อาทิ มีเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา 2.8 แสนคน การเรียนรู้ถดถอยลง

เช่นเดียวกับด้านสุขภาพ คนไทยมีความเครียดสูง เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ปัญหาการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ปัญหาคนไร้บ้าน ไม่มีที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น และการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดยังจำกัดอยู่ในบางพื้นที่

คนจนยังเจอปัญหาไม่มีหลักประกันด้านแรงงาน แรงงานส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอิสระ ไม่มีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย กระทบกับการออมและส่งผลให้หนี้สินเพิ่มขึ้น

ความยากจน การศึกษาต่ำต้อย ไม่มีงานมั่นคงและก้าวหน้าจึงเป็นส่วนสำคัญทำให้ประเทศไทยมีการก่อเหตุอาชญากรรมสูงมาก และเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารตั้งแต่ระดับการเมืองมาจนถึงข้าราชการประจำ

ปี 2564 คดียาเสพติดมีมากถึง 7 หมื่นกว่าคดี คดีปล้นชิงทรัพย์ ลักขโมย กว่า 12,000 คดี

นี่เป็นภาพรวมของสถานการณ์ประเทศไทย

 

เมื่อถามว่า ทำไมประเทศไทยไม่สามารถแก้จนให้หมดสิ้น คำตอบน่าจะอยู่ที่ “การเมือง” เป็นสาเหตุหลักอันดับแรก

การเมืองเป็นรากฐานสำคัญของการจัดวางนโยบายประเทศไทย ถ้าการเมืองมีเสถียรภาพ คนบริหารประเทศมีวิสัยทัศน์ จัดระบบบริหารโปร่งใส ไร้คอร์รัปชั่น ประเทศไทยจะมีคนจนลดลงอย่างแน่นอน

ถ้าย้อนเวลากลับไปในช่วง 17 ปีตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ล้มคว่ำรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อปี 2549 การเมืองไทยตกอยู่ในวังวนอุบาทว์ บ้านเมืองแตกแยกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ไร้เสถียรภาพ

แม้เปิดให้เลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย แต่ก็เป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ มีรัฐบาลก็เหมือนไม่มีเพราะแบ่งสีแย่งชิงอำนาจ

กระทั่งเกิดรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 คนไทยในเวลานั้น หวังว่าสถานการณ์ประเทศดีขึ้นกว่าเก่า เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารที่โค่นรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ให้สัญญาว่าจะสร้างความสุขให้คนทั้งประเทศ จะมุ่งปฏิรูปประเทศใน 11 ด้านให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 ปี ขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ จะดูแลปกป้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม

8 ปีผ่านมา ประเทศไทยไม่เพียงจะตกอยู่ในภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ คนจนมีจำนวนเพิ่มขึ้น สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลง แต่การทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงในรัฐบาล “ประยุทธ์” กลับเพิ่มสูงกว่ารัฐบาลชุดก่อนๆ

มิหนำซ้ำ ประเทศยิ่งแตกแยกแบ่งขั้วหนักหนาสาหัส มีทั้งฝ่ายขวา ฝ่ายอนุรักษนิยม ฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้า ฝ่ายเสื้อแดงนิยม “ทักษิณ”

การบริหารประเทศของ “ประยุทธ์” จึงนับเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่ให้น่าประหลาดที่ “ประยุทธ์” ดิ้นสู้เพื่อหวังกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง •

 

สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน

[email protected]