หวานอมขมกลืน | เรื่องสั้น : ขวัญเรียม จิตอารีย์

เรื่องสั้น | ขวัญเรียม จิตอารีย์

หวานอมขมกลืน

 

จริงๆ แล้วฉันอยากเล่าเรื่องนี้ด้วยประโยคขึ้นต้นที่ว่า สมัยนั้นคนเราลำบากยากจนกันมาก… แล้วสาธยายต่อด้วยเรื่องราวย้อนไปครั้งฉันยังเป็นเด็กน้อย เป็นวัยรุ่น ถ้ามันยังไม่ลำบากพออาจย้อนไปถึงรุ่นพ่อแม่ หรือจะย้อนไปถึงรุ่นปู่ย่าตายทวดก็ได้ เพื่อที่มันจะได้มีความหมายในทางตรงกันข้ามว่า สมัยนี้ ตอนนี้ ณ ขณะนี้ คนเรามีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่ได้ลำบากยากแค้นเหมือนเมื่อก่อน แต่ยุคสมัยก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าคนเราจะกินดีอยู่ดีตามปีเดือนที่เคลื่อนไปข้างหน้า ตามเลขปี พ.ศ. และ ค.ศ. ที่เพิ่มขึ้น แม้ตอนนี้เราจะดูหนังฟังเพลง ฝากถอนโอนเงิน ซื้อของได้ด้วยสมาร์ตโฟนเครื่องเดียว ไม่มีใครหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์สาธารณะเช่นเดียวกับที่ไม่มีใครส่งโทรเลข รถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ใช้ไฟฟ้าแทนน้ำมันได้ ดูเหมือนว่าสมัยนี้อะไรก็ง่าย สะดวกสบายไปเสียทุกอย่าง แต่เอาเข้าจริงๆ ชีวิตในยุคสมัยนี้กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อาจมีหลายคนได้ครอบครองคำว่า “พออยู่พอกิน” “กินดีอยู่ดี” ไปจนถึง “เหลือกินเหลือใช้” แต่มันคงไม่ใช่คนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราๆ แน่นอน

ฉันเปิดตู้เย็น ไม่ใช่แค่แฟนหนุ่มผู้มีแนวโน้มว่าจะหัวล้านเท่านั้นที่โล่งอก ฉันเองก็โล่งอกไปด้วย ต้มจับฉ่ายที่เราซดซ้ำจนลิ้นชินชาไม่อยากรับรสได้หมดลง ไม่เหลือถุงอาหารในช่องแช่แข็ง และฉันเองก็เหนื่อยหน่ายกับการคิดคำนวณค่าใช้จ่าย ตระเตรียมของทำอาหาร พอทำเสร็จแต่ละครั้งก็เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรต่อ เวลาที่ใช้ไปก็ไม่น้อย ออกไปกินข้าวร้านตามสั่งหน้าปากซอย ซื้อแกงถุง หรือทำกินเอง แบบไหนประหยัดที่สุด ฉันไม่อยากคิดแล้ว โอกาสนี้เราจึงตกลงกันว่าจะออกไปกินข้าวมันไก่เจ้าประจำที่ไม่ได้กินมานาน นับตั้งแต่สถานการณ์แพงทั้งแผ่นดินได้เริ่มขึ้น และยังไม่มีทีท่าว่าจะถูกลงง่ายๆ ในเร็ววันนี้ แม้คนส่วนใหญ่จะรู้อยู่แก่ใจว่า เหตุได้กลายเป็นเรื่องลึกลับโดยปกติ จะสืบสาวอย่างไรก็ไม่มีอะไรชัดเจนขึ้นมาได้ แต่ผลนั้นเราล้วนได้รับอย่างเปิดเผย เต็มเปี่ยม ล้นทะลักกันถ้วนหน้า ยิ่งประชาชนหิว พวกมันยิ่งสวาปามไม่รู้จักอิ่ม คิดถึงเรื่องนี้ทีไรความโกรธก็ผุดขึ้นเหมือนน้ำเดือดปุดๆ จากการเร่งไฟแรงสุด

แต่!! เดี๋ยวนะ ข่าวว่าแก๊สหุงต้มจะขึ้นราคาอีกแล้ว เตรียมลดน้ำหนักกันได้เลย

 

ความหิวยังไม่ข้ามเส้นพอเหมาะ เมื่อมาถึงร้านข้าวมันไก่และบะหมี่หมูตุ๋นที่ไกลออกไปเกือบสิบกิโลเมตร กลิ่นอาหารกระตุ้นความอยากราวบริกรภัตตาคารผายมือรับ ดอกคุณนายตื่นสายสีบานเย็นแจ๊ดแจ๋แซมด้วยสีเหลืองและส้มเจิดจ้าพากันเบ่งบานเต็มแปลงหน้าร้าน ตายายวัยเจ็ดสิบกว่าเจ้าของร้านยิ้มรับทักทาย “หายไปไหนมา ไม่เห็นหน้าตั้งนาน ยายนึกว่าย้ายไปอยู่ที่อื่นกันแล้ว” ฉันยิ้มแหยๆ “ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ แค่จนเฉยๆ” ยายพูดกลั้วหัวเราะ “จนแค่ไหนก็มากินร้านยายได้” แล้วเราก็หัวเราะกับความจริงที่ไม่ค่อยตลกเท่าไหร่ การเยาะเย้ยตัวเองเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พอทำได้ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะผ่อนคลายกับมันได้ด้วย บนหน้าปัดนาฬิกาติดผนังเข็มสั้นกำลังเคลื่อนใกล้เลข 2 เลยเวลาพักเที่ยงไปมาก ในร้านมีลูกค้านั่งอยู่แค่สามโต๊ะ ชายหนุ่มสามคนในชุดช่างสีน้ำเงิน ท่าทางหิวจัดกำลังโกยข้าวมันไก่อย่างกับรถตักดิน แทบไม่มีใครเงยหน้าจากจานข้าว “เอาอะไรเพิ่มไหม?” ยายถามยิ้มๆ สายตาบอกว่าดีใจที่เห็นเด็กๆ เจริญอาหาร “อีกเดี๋ยวครับ” ยังมีคำตอบเล็ดลอดเม็ดข้าวออกมา ยายยิ้มตาหยี อีกโต๊ะเป็นชายวัยประมาณหกสิบกว่า ตัวผอมลีบ ใส่หมวกแก๊ปสีเทาเก่าซีด ร้านนี้มีข้าวมันไก่กับบะหมี่หมูตุ๋นที่เด็ดไม่แพ้กัน ฉันเลือกข้าวมันไก่เพราะข้าวที่เรียงเม็ดสวยวาวด้วยน้ำมันไก่ หุงมานุ่มพอดี ไก่ก็นุ่มฉ่ำไม่แห้งฝืดตอนเคี้ยวกลืน วางโป๊ะบนข้าวพูนจาน ร้านนี้ให้มากกว่าแบบธรรมดาของร้านทั่วไป ถ้าสั่งแบบพิเศษต้องแบ่งคนข้างๆ ร้านยังจะขายราคาเดิม ถ้าไม่ไหวค่อยปรับขึ้น เจ้าของร้านสูงวัยบอก ฉันเดาว่าอีกสักพักไก่จะขึ้นราคา หลังจากกะเพราหมูไข่ดาวกลายเป็นอาหารจานหรู จากหมูที่ขึ้นราคาแบบกระโดดข้ามคอกกั้น ไข่ก็แพงอย่างกับแปะทองไว้ เรามาถึงยุคที่ประชาชนคนธรรมดาได้กินอาหารหรูหราถ้วนหน้าได้อย่างไร แฟนหนุ่มอร่อยกับข้าวมันไก่เนื้อหนังเครื่องในแบบจัดเต็มจนแสงแทบพุ่งออกมาจากปาก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะอาหารซ้ำซากที่เรากินมานานเกินไป ช่างหนุ่มสั่งเนื้อหนังเครื่องในพิเศษอีกจาน รอยเหงื่อซึมชัดบนแผ่นหลัง “เดี๋ยวมึงแบ่งกูครึ่งนึงนะ” ช่างหนุ่มตัวล่ำบอกเพื่อน “ได้ๆ กูยังไหว” เพื่อนตอบรับไม่รอช้า “กูจุกแล้วว่ะ” ช่างหนุ่มตัวเล็กเอ่ยพร้อมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลาสติก พวกเขาคุยกันถึงงานที่ต้องเร่งให้เสร็จก่อนเที่ยง แต่กลับติดขัดจนล่วงเลยมาถึงบ่าย แล้วมันก็ลุล่วงได้ในที่สุด อาหารมื้อนี้จึงเสมือนการเฉลิมฉลองหลังกรำงานหนัก ฉันกินข้าวมันเปล่าๆ ก่อนราดน้ำจิ้มเสมอ ชอบเวลาละเลียดบดเคี้ยวเม็ดข้าวให้ความหอมหวานกรุ่นกลิ่นอวลอบอยู่ในปาก แล้วค่อยพารสชาติอื่นตามมาสมทบ โดยเฉพาะเนื้อไก่ฉ่ำนุ่มอุ้มน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวหอมเค็มพอดี ขิงสับละเอียด พริกสับหยาบเคี้ยวแล้วได้รสเผ็ดฉุนนิดๆ

คงเป็นดั่งคำโบราณที่ว่า จะโกรธแค้น ทุกข์หนัก อยากตาย ยังไงก็ให้กินข้าวก่อน อะไรที่ถ่วงหนักอยู่จะค่อยๆ เบาลง แล้วค่อยคิดหาหนทางออก

 

ตอนกินฉันไม่ได้คิดอะไรนอกจากความรื่นรมย์ในรสชาติ ไม่ด่ารัฐบาล ขณะที่ทีวีกำลังรายงานข่าวการขึ้นราคาน้ำมันดีเซล กลุ่มรถบรรทุกจะนัดชุมนุมวันพรุ่งนี้ หากรัฐบาลยกเลิกการตรึงราคาน้ำมัน ช่างหนุ่มทั้งสามดื่มน้ำอึกใหญ่ ลูบท้องอิ่มแปล้เดินออกไป แฟนหนุ่มขอต่ออีกจาน ฉันพยักหน้าอนุญาต ต่อเนื้อหนังธรรมดาอีกจานครับ น้ำเสียงรื่นเริงกว่าเสียงเคี้ยวผักต้มจับฉ่าย ระบบสายพานอันรื่นรสยังทำงานต่อเนื่อง เราไม่มีอะไรต้องรีบ เพราะลูกค้าชะลองานออกแบบนิทรรศการออกไปไม่มีกำหนด มันอาจเป็นการยกเลิกในลำดับต่อไปก็ได้ ฉันคิดว่าคงเป็นอย่างนั้น ถ้อยคำของความจริงมักจะมาถึงทีหลัง เราต่างรู้สถานการณ์กันดี เข้าใจสิคะ มีอะไรก็ติดต่อมาได้ตลอดเลยค่ะ อ๋อ…ไม่มีปัญหาค่ะ ไม่เป็นไรเลยค่ะ ยินดีช่วยอยู่แล้วค่ะ ฉันได้ยินเสียงตัวเองเจื้อยแจ้วตอบรับ คนนั่งฟังข้างๆ รู้แล้วว่าพับเก็บไปอีกงาน วางโทรศัพท์มือถือลง เบี่ยงเบนตัวเองสู่ความสนใจอื่น โอกาสอื่นที่ยังเหลือ ขณะคิดฉันมองเส้นผมสีขาวที่ดูเหมือนยาวโด่เด่กว่าสีดำบนหัวของเขา ผมหงอกเพิ่มขึ้น หน้าผาเถิกลึกเข้ามุมขมับทั้งสองข้าง โดยไม่ตั้งใจสายตาฉันมองเลยไปยังชายคนนั้น ดูเหมือนเขากำลังทำอะไรบางอย่างใต้โต๊ะ เสื้อกันแดดวางพาดพนักพิงเก้าอี้ด้านซ้ายของเขา มือกำลังล้วงจับดึงเสื้อกันแดดเหมือนเป็นปกติที่เราจะค้นหาของในกระเป๋าเสื้อ แต่ดูแล้วไม่ปกติ มีอะไรบางอย่างปิดบังซ่อนเร้นอยู่ใต้เสื้อตัวนั้น ฉันยืดตัวให้มองเห็นชัดขึ้น แต่ยังรักษาท่าทีไม่ให้ผิดสังเกต มือเขายังยุกยิกอยู่กับอะไรบางอย่างข้างล่างนั่น ฉันเหลือบมองเจ้าของร้านทั้งสอง คุณตามองผ่านตู้กระจกออกไปยังท้องถนนเบื้องหน้า รถกำลังจอดติดไฟแดง ส่วนยายนั่งหันข้างมองดูภาพในทีวีบ้าง มองถนนบ้าง เหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก คงมีแค่ฉันคนเดียวที่เป็นผู้สังเกตอยู่ในตอนนี้

ฉันยืดตัวขึ้นอีกจนเกือบเป็นการชะโงกดูอย่างเปิดเผย ผู้ถูกสังเกตคงรู้ถึงการสังเกตนี้แล้ว หมวกแก๊ปปิดบังดวงตาของเขาไว้ แฟนหนุ่มมองตามสายตาฉัน อะไร อะไร รูปปากถามซ้ำไร้เสียง ฉันส่ายหัว ไม่รู้ ไม่รู้ เดี๋ยวก่อน เขาอ่านปาก อยากรู้แต่หันกลับไปมองไม่ได้ แล้วในที่สุดมือผอมๆ นั่น ก็ยกบางอย่างขึ้นวางบนโต๊ะ ฉันรู้ได้ในทันที กระป๋องพลาสติกใสขนาดเท่ากระป๋องนมข้นหวานต่อกันสองกระป๋อง ฝามียางปิดแน่นเพื่อกันมด มันเปิดยากพอสมควร ฉันเคยเปิดแล้ว ทุกโต๊ะมีกระป๋องน้ำตาลวางเป็นเครื่องปรุงหนึ่ง บนโต๊ะนั้นน้ำตาลเหลือแค่ก้นกระป๋อง ถ้าฉันยังเป็นคนหนุ่มอายุปลายยี่สิบ ยังทำงานประจำ ฉันอาจถามตรงๆ ว่าลุงทำอะไรคะ? ก็ได้ เช่นที่ฉันเคยเตือนคนแซงคิว ทั้งยังบอกพนักงานขายว่าไม่ควรคิดเงินให้เขาก่อน ฉันมักหงุดหงิดกับรถที่จอดในที่ห้ามจอด ตำรวจที่ตั้งด่านตรวจจับรถแต่มักไม่เขียนใบสั่ง นานวันเข้าฉันก็เหนื่อยกับไม้บรรทัดในมือ เราเคยคุยกันในหมู่เพื่อนว่า แค่ถาม ทักท้วง โต้แย้ง บีบแตรเตือน ชีวิตก็อาจเกิดเรื่องวุ่นวาย จนถึงบาดเจ็บล้มตายได้ ถ้าใครคนนั้นเป็นผู้มีอำนาจ หรือเป็นลูกหลานบริวารผู้เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจ อาจเป็นนักธุรกิจ ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ หรือกระทั่งมาเฟียปลายแถว ข่าวไฮโซขับรถชนคนตายโดยไม่มีความผิดแทบเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถ้าแกบีบแตรแล้วมันควักปืนมายิง แกตายฟรีเลยนะ ตอนนี้ฉันน่ะไม่กล้าว่าใครสุ่มสี่สุ่มห้าเลยแก เพื่อนคนหนึ่งยอมรับพร้อมแบะปากส่ายหัว ใช่ มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลยในประเทศที่ระบบบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนนี้ มันกำลังสร้างระบบใหม่พร้อมกับสร้างคนให้เจ้าเล่ห์และเห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกวัน นอกจากมันจะเย้ยหยันเราแล้วมันยังชี้นิ้วดันคางฉันให้หันไปทางอื่น กระซิบคำว่า “ช่างแม่ง” กรอกหู แล้วฉันก็คล้อยตาม เช่นความเจ็บป่วยบางชนิดที่ต่อมาได้กลายเป็นความเคยชิน มาถึงตอนนี้อายุของฉันล่วงเข้าเลข 4 อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป

ชายผอมบางคนนั้นสวมเสื้อกันแดดหลวมโพรกซึ่งซุกซ่อนความหวานไว้ ยื่นเงินพอดีค่าข้าว ขอให้ยายช่วยห่อข้าวที่เหลือในจาน เสียงของเขาเบาจนแทบไม่ได้ยิน เขารับถุงห่อข้าวมันไก่ที่มีน้ำซุปโครงไก่ถุงใหญ่ใส่ให้ด้วย ก่อนเดินออกจากร้านโดยมีสายตาฉันมองตามเหมือนกล้องแอบถ่าย จนเขาควบขี่มอเตอร์ไซค์หายลับไป “ยายของหนูเท่าไหร่คะ?” ฉันถามเสียงดังกว่าปกตินิดหน่อยเพราะแกไม่ค่อยได้ยิน ยายเดินมาบอกราคาที่โต๊ะ ไม่แสดงอาการรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แฟนหนุ่มยังถามเซ้าซี้ ฉันชี้ไปที่ขวดน้ำตาล “ยายเห็นใช่ไหมคะ?” ฉันถามเสียงเบาทั้งๆ ที่ไม่เหลือใครในร้าน ยายพยักหน้าเชื่องช้า เหลือบมองน้ำตาลก้นกระป๋องบนโต๊ะนั้น แววตาวูบสลด “ข้าวก็กินครึ่งแบ่งครึ่ง คงมีใครคอยอยู่ที่บ้าน คนนี้เขาเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง” น้ำเสียงของผู้ผ่านมาค่อนชีวิตเจือไปด้วยความเห็นใจและหดหู่ บางสิ่งบางอย่าง บางเรื่องราวมันไม่ถูกต้อง แต่ไม่จำเป็นต้องไร้น้ำใจ หรือต้องหักโค่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของใครลง เป็นบทสรุปที่ไม่มีใครบอก แต่เรารับรู้ได้ในส่วนลึกอย่างชัดแจ้ง คนจนมีเรื่องให้คิด ให้กลัว ให้กังวลมากเหลือเกิน ข้าวมันไก่ครึ่งหนึ่งคงถูกบรรจงแบ่งไว้แต่แรกด้วยช้อนที่ยังไม่เปื้อนน้ำลาย ข้าวในจานของชายคนนั้นคงมากพอให้สองท้องได้อิ่มในหนึ่งมื้อ หรืออาจมีถึงสามท้อง หรืออาจเป็นมื้อเย็นของชายชราผู้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวก็ได้ แต่ถ้าเขาจะเป็นไอ้คนขี้เกียจหัวขโมยก็ช่างมันเถอะ ไม่ว่าใครก็หิวเป็นเหมือนกัน ฉันคงอิ่มเกินไป กระเพาะคงกำลังย่อย น้ำย่อยกำลังคลุกเคล้าข้าวมันไก่ คงใช่แน่ๆ น้ำย่อยที่หูรูดกระเพาะไม่อาจกั้น เจ้าก้อนนั้นถึงได้พุ่งขึ้นมาจุกที่ลำคออย่างกะทันหัน น่าจะเป็นกรดไหลย้อน ฉันพยายามกลืนมันลงหลายครั้ง แต่มันก็ยังคงค้างคาอยู่

ดอกคุณนายตื่นสายที่สดใสเจิดจ้าดูพร่าพรายตายังไงก็ไม่รู้ ฉันกะพริบตาถี่ๆ ก่อนเบือนหน้าไปทางอื่น อีกสักพักสองตายายคงเก็บร้าน กลับไปนอนพักเหนื่อย น้ำตาลคงพอเจือรสหวานให้ชีวิตอันขมขื่นได้บ้าง

 

ฉันกลับไปร้านข้าวมันไก่อีกหลายครั้ง ปรับเปลี่ยนพลิกแพลงวิธีทำอาหารให้ง่ายขึ้น มันช่วยให้เหนื่อยและใช้เวลาน้อยลง เราต้องทำความคุ้นเคยกับวิถีชีวิตใหม่ให้เร็ว เพราะไม่ใช่แค่เรื่องปากท้อง ยังมีโรคระบาดเข้าซ้ำเติมสถานการณ์ให้ย่ำแย่ลงไปอีก หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่ได้พบเจอชายผู้ซุกซ่อนความหวานอีก เราไม่ถามหรือพูดถึงเขา แต่ก็ไม่เคยลืม ภาพชีวิตทุกข์ยากหลากหลายมีให้เห็นได้ทุกที่ แม้จะปิดหูปิดตาไม่อยากรับรู้ แต่มันจะยังคงอยู่ ยายเคยเล่าให้ฉันฟังว่า สมัยก่อนคนเรายากจนกันมาก ข้าวปลาอาหารก็กินอยู่กันตามมีตามเกิด ยิ่งคนที่มีลูกมากเป็นโขยงอย่างยาย บางปีข้าวไม่พอกินต้องขอยืมบ้านญาติพี่น้อง บ่อยครั้งต้องขอเชื่อจากพ่อเลี้ยง บางปีหลายบ้านต้องผสมข้าวกับเผือกมันหัวกลอยเพื่อให้ทุกคนได้กินอิ่ม ลูกคนไหนโตพอจะใช้แรงงานได้ต้องช่วยงานนาไร่ หนังกลางแปลงไม่เคยได้ดูกันครบ ต้องให้คนเริ่มเป็นหนุ่มสาวได้ดูก่อน จะเข้าเมืองทีหนึ่งต้องเตรียมข้าวน้ำไปด้วย ถ้าไม่ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลจังหวัดก็ไม่มีใครออกไปไหน ถนนลูกรังคลุ้งฝุ่นตลบ กว่าไฟฟ้าจะเข้าถึงทุกบ้านลูกก็โตพอจะแต่งงานได้ คนเดี๋ยวนี้สบายกว่าเมื่อก่อนเป็นร้อยพันเท่า ถ้ายายมาเห็นคนในเมืองตอนนี้ยายคงสังเวชใจจนนอนไม่หลับ แกคงพล่ามซ้ำๆ อเนจอนาถใจอะไรอย่างนี้คนเรา แม้จะยากลำบาก แต่ยายก็ประคับประคองชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีตั้งแต่เกิดจนตาย หรือจะพูดอีกอย่างว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ช่วยประคับประคองชีวิตคนเราไว้ให้รอดพ้นข้ามผ่านความต่ำช้ามาได้ แต่หากมันหนักหนาเกินกว่าชีวิตจะรับไหว ศักดิ์ศรีมันก็กินไม่ได้ จริงอยู่ที่ว่าค่าเงินเมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้ต่างกัน เงินร้อยเงินพันของคนเราไม่เท่ากัน อยากได้ใคร่มี อยากสุขสบาย ใครหน้าไหนไม่อยาก แต่อย่างน้อยมันก็ควรมีอะไรที่เป็นความเท่าเทียมให้ทุกคนบ้าง ยิ่งยามวิกฤตอย่างนี้ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเริ่มต้นเดือนละหกร้อยบาทหรือ? เทียบกับค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่ได้ขึ้นมานานได้แค่สองวันเท่านั้น แล้วไอ้คำว่า “ไม่มีความยากจนในหมู่คนขยัน” นั่นมันคำลวงในคราบความจริง มันถูกต้องจริงแท้อย่างนั้นหรือ? ไม่อย่างนั้นเราคงไม่จนกันทั้งประเทศ ชาวบ้านหมู่บ้านฉันออกไปกรำงานกลางแดดตั้งแต่เช้ายันมืดค่ำ บางคนเสี่ยงดวงไปขายแรงต่างประเทศ ถ้าโชคดีก็พอได้ ถ้าโชคร้ายก็โดนหลอก ความยากจนยังเกาะขาเราไว้แน่น เรายังเป็นหมู่คนขยันที่ยากจนอยู่วันยังค่ำ ยิ่งมีนโยบายขจัดความยากจน ประกาศเสียใหญ่โตว่าคนจนจะหมดไปจากประเทศนี้ ความยากจนนั่นยิ่งโถมทับ

หลายสิบปีผ่านแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

 

ดอกคุณนายตื่นสายริมทางเหลือแต่เครือเถาเหี่ยวแห้งระเลื้อยดิน ถ้าปล่อยทิ้งไว้คงจะแห้งตายไปเอง แต่ที่ร้านข้าวมันไก่ สองตายายจะลงแปลงปลูกใหม่ทุกครั้ง เราสองคนไม่ได้แวะไปนาน ต่อมรับรสตื่นเต้นยินดีรอท่า เราขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าเปลวแดดไปด้วยความหวัง แต่พอไปถึงได้แต่ตะลึงงัน ไม่มีร้านข้าวมันไก่ ไม่มีแปลงดอกคุณนายตื่นสาย ลานจอดรถยาวถึงริมถนน ซูเปอร์มาร์เก็ตตั้งตระหง่านแทนที่ อย่างกับมาผิดที่ ทุกอย่างใหม่หมดจดไม่เหลือเค้าเดิม ไม่รู้ไปอยู่ไหน ย้ายไปนานเท่าไหร่แล้ว หรือจะเจ็บป่วยไม่สบาย หรือจะ… ขออย่าให้เป็นอย่างนั้น ความกลัวมักพาความคิดเตลิดไกล ชายคนนั้นคงไม่ได้ยื่นมือรับถุงห่อข้าวมันไก่ครึ่งจานพร้อมน้ำซุปโครงไก่ถุงใหญ่อีกแล้ว ท้องฉันร้องโครกครากตัดพ้อด้วยความผิดหวัง ความกลัว กังวลในสิ่งไม่อาจรู้เจือในน้ำลายคล้ายขม มันหนืดเหนียวอยู่เต็มปากเต็มลำคอ หน้ามืดตาลายจนเห็นประเทศรูปขวานกลายเป็นกระเพาะใหญ่ยักษ์ที่กำลังเบียดบด ดูดกลืน ขย้อนเราออกมาเคี้ยวแล้วกลืนซ้ำ เคี้ยวกลืน เคี้ยวกลืน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดหย่อน ความหิวซุกตัวอยู่ในกระเพาะของคนที่กำลังเดินผ่าน คนที่ไม่รู้จัก คนที่ไม่ถูกมองเห็น นมผง บะหมี่สำเร็จรูป ขนมปัง ปลากระป๋อง ข้าวสาร กลายเป็นหลักฐานของกลางวางแผ่ตรงหน้าผู้ต้องหาลักขโมย เจ้าของใบหน้านั้นจะเป็นใครก็ได้ โชว์หราในหน้าข่าวรายวัน ฉันนึกถึงความลำบากยากแค้นที่ยายเคยเล่า สมัยนั้นคนเราลำบากยากจนกันมาก… แต่มันก็ยังไม่เท่าสมัยนี้เลยนะยาย ถ้าหวาน ประชาชนอย่างเราก็จะอมไว้ลิ้มรสซ่านลิ้นให้นานที่สุด แต่ถ้าขม ไม่ว่าจะสักแค่ไหนเราก็จะฝืนกลืนมันลงไปเหมือนที่ผ่านๆ มา

นี่แหละชีวิตที่พวกเราเป็นอยู่ ในกระเพาะซึ่งไม่เคยอิ่มของประเทศนี้ •