R.I.P. การเมืองไทย 1 ทศวรรษที่ถูกจองจำ

ในวันที่มีผู้สื่อข่าวไปถาม “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ว่า ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง แล้วเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมคิดว่ายังไง

ประยุทธ์ตอบว่า ก็ลองเสนอเข้าไปก็แล้วกัน ผ่านได้หรือไม่ได้ไม่ทราบ กฎหมายนี้ถ้านิรโทษกรรมเฉพาะคนบางกลุ่มแล้วคนอื่นก็ต้องนิรโทษกรรมทั้งคุกเลยมั้ง เพราะเป็นกฎหมายเดียวกัน ใครทำผิดกฎหมายก็ต้องว่าไปตามกฎหมายนั้น

ฟังดูคล้ายกับว่า ประยุทธ์เป็นคนเคร่งครัดกับบทบัญญัติของกฎหมาย ใครทำผิดอะไรก็ว่ากันไปตามนั้น

ขณะที่หลายคนกำลังคิดเลยเถิดไปถึงการปรองดองทางการเมืองระหว่าง “ขั้วที่แย่งอำนาจ” มาด้วยกำลังทหารและอาวุธ กับ “ขั้วที่ถูกแย่ง” ประยุทธ์ก็ผุดขึ้นมาอีกว่า “ผมไม่ได้ไม่ชอบหรือเกลียดใคร เขาทำผิดกฎหมายเอง ทุกคนที่ทำผิดกฎหมายต้องยอมรับผิดตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เช่นนั้นก็อยู่กันไม่ได้ ทั้งโลกเขาอยู่กันแบบนี้”

คราวนี้เข้าใจความหมายของประยุทธ์แจ่มแจ้งแล้ว!

แต่น่าสงสัยว่าประยุทธ์เปลี่ยนไปได้อย่างไร

 

ในวันที่สถานะของ “ประยุทธ์” เป็น “ข้าราชการประจำ” มีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก หรือ ” ผบ.ทบ.” ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งนั้น “ประยุทธ์” ไม่เข้าใจคำว่า “ทั้งโลกเขาอยู่กันแบบนี้”

การจัดวางกำลังคนและเคลื่อนกำลังพลรบพร้อมอาวุธสงครามเข้าก่อการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นั้นผิดกฎหมายอาญา มาตรา 113 ฐานล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ และล้มล้างรัฐธรรมนูญ

โทษถึงขั้นประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต!

ในประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย ไม่ว่าในสายเสรีประชาธิปไตยหรือสายคอมมิวนิสต์ “ข้าราชการประจำ” ติดอาวุธจะไม่ก่อการแย่งชิงอำนาจรัฐด้วยอาวุธ

การก่อรัฐประหารหรือแย่งชิงอำนาจรัฐด้วยอาวุธจึงถูกตั้งค่าเป็น “พฤติการณ์เลวร้าย” ผิดกฎหมายอาญาร้ายแรง

แต่เพื่อที่จะมีที่ยืนในสังคมและสืบทอดอำนาจต่อไป นักรัฐประหารทุกคนล้วนต้องการ “นิรโทษกรรม”

หากมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ประยุทธ์จะต้องไม่ลืมที่มาของตนเอง

 

ในวันที่ “สถานะ” เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจาก “ผู้ใต้บังคับบัญชา” ของหัวหน้ารัฐบาล กลับกลายมาเป็น “หัวหน้ารัฐบาล” ผู้คนทั่วไปมักจะได้ยิน “ประยุทธ์” เรียกร้องให้เคารพกฎหมายบ่อยครั้ง

เด็กๆ รุ่นลูกหลานจำนวนมากจึงถูกจับกุมคุมขัง มีตั้งแต่ความผิดยิบย่อยไปจนถึงอาญา มาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น

แต่ทั้งหลายเหล่านั้นมาจาก “เหตุปัจจัย” ที่สืบเนื่องมาจาก “รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557”

กล่าวได้ว่า ถ้าไม่มีคณะนายทหาร (ที่มีประยุทธ์เป็นหัวหน้า) ก่อรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เด็กๆ รุ่นลูกหลานหลายคนรวมทั้งประชาชนผู้มีความเห็นแตกต่าง คงไม่ประสบชะตากรรมอย่างที่เป็นเช่นในวันนี้

คำเรียกร้องให้ผู้คนเคารพกฎหมายของประยุทธ์จึงไม่ได้เกิดจาก “ภายใน” ที่เข้าใจชีวิต เข้าใจสังคมเข้าใจโลก และเข้าใจกฎหมาย

ทุกอย่างเริ่มจากระบบความคิด “เอาตัวรอด”

ก่อรัฐประหารเสร็จ เกรงจะวุ่นวายจนเอาไม่อยู่ จึงโหมกระหน่ำวาทกรรมใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามพร้อมระดมสรรพกำลังสกัดกั้นจับกุมคนเห็นต่างขังคุก

ขณะที่ด้านหนึ่ง หลอกหล่อให้ตายใจว่า “ขอเวลาไม่นาน”

 

หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ประกาศจะจัดการเลือกตั้งในปี 2559 แต่ล่วงผ่านไป 2560, 2561 จนถึง 2562 กว่าจะให้มีการเลือกตั้ง ” ประยุทธ์” หัวหน้าคณะรัฐประหาร ก็นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว “5 ปี” เขียนกติกาขี้ฉ้อขึ้นมาให้โลกเสรีประชาธิปไตยได้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น ด้วยการให้ “หัวหน้าคณะรัฐประหาร” แต่งตั้ง “ส.ว. 250 คน” เอาไว้สำหรับ “ยกมือ” เลือกผู้ที่จะมาเป็น “นายกรัฐมนตรี-หลังเลือกตั้ง”

เด็กอมมือก็อ่านออกว่า เป็นแผนสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร

พรรคพลังประชารัฐที่จัดตั้งขึ้นใหม่กับ ส.ว. 250 คนยกมือสนับสนุน “ประยุทธ์” เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ ตามคาด

ประยุทธ์อยู่นานจนทำท่าจะสะดุดขาจาก “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ซึ่งกำหนดว่า ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้เกินกว่า 8 ปี

นำเอาวันเวลาที่ประยุทธ์นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องไปให้เด็กๆ นับ

นับยังไงก็ครบ 8 ปีควรสิ้นสุดลงโดยปริยาย

แต่ด้วยอภินิหารแห่งการตีความ “เสียงข้างมาก” ลงมติให้ประยุทธ์ไปต่อ

ประยุทธ์ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เมื่อ “พี่ป้อม” ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอึดขึ้นมา ทำท่าอยากเป็นเบอร์ 1 บ้างเพราะคุมกำลัง (ส.ส.) อยู่ในมือ “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่เคยใช้ก่อนรัฐประหารก็ถูกงัดขึ้นมา

ผลพวงคราวนี้ทำให้ “ประยุทธ์” ต้องมี “พรรคการเมือง” รองก้น

พรรครวมไทยสร้างชาติ หรือที่ ส.ว.วันชัย สอนศิริ ผวนคำ จึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปภายหลังเลือกตั้งปี 2566

 

พรรคนี้กำลังมาแรงแซงหน้าพี่ป้อม โพลนิด้าสำรวจทีไร “พรรครวมไทยสร้างชาติ” กับ “ประยุทธ์” มาเป็นอันดับ 3 ทุกที

เช่น ที่โคราช เมื่อถามว่า คนโคราชจะเลือก “ส.ส.แบ่งเขต” พรรคไหน อันดับ 1 ร้อยละ 48.4 เลือกพรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 13.8 เลือกพรรคก้าวไกล และอันดับ 3 ร้อยละ 8.5 รวมไทยสร้างชาติ

“ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ” คนโคราชจะเลือกพรรคไหน

อันดับ 1 ร้อยละ 47.6 เลือกพรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 14 เลือกพรรคก้าวไกล และอันดับ 3 ร้อยละ8.6 รวมไทยสร้างชาติ

เมื่อถามว่า จะสนับสนุนใครเป็น “นายกรัฐมนตรี”

อันดับ 1 ร้อยละ 37.8 น.ส.แพทองธาร หรืออุ๊งอิง ชินวัตร อันดับ 2 ร้อยละ 12.4 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และอันดับ 3 ร้อยละ 11.7 ประยุทธ์ จันทร์โอชา

พี่ป้อมของ 3 ป.ชื่อหล่นหายไปไหนไม่สำคัญ

“คนสำคัญ” ภายหลังเลือกตั้ง 2566 ได้รับการอธิบายจาก ” ส.ว.เสรี สุวรรณภานนท์” เอาไว้อย่างนี้

“ขณะนี้สังคมแบ่งเป็นสองฝ่าย คือเอา กับไม่เอาประยุทธ์ ใกล้เคียงกัน ส.ว.เป็นตัวแปรสำคัญ เพราะมี 250 เสียง แลนด์สไลด์ล่วงหน้าไปแล้ว… หากเพื่อไทยได้ไม่เกิน 250 เสียง น.ส.แพทองธารไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่ๆ พรรคขนาดกลาง พรรคเล็ก จะดูแนวโน้มว่า ใครจะเป็นรัฐบาลก็ไหลไปรวมกับขั้วที่ ส.ว.จะโหวตให้ ขณะนี้เสียง ส.ว. 90 เปอร์เซ็นต์จะโหวตไปทางเดียวกันหมด โอกาสข้างหน้า บอกได้เลยไม่ประยุทธ์ก็ประวิตรเท่านั้นที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี”

นี่คือการเมืองประเทศไทย!?!!