ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 กุมภาพันธ์ 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | เปิดตา |
ผู้เขียน | อัษฎา อาทรไผท |
เผยแพร่ |
คืนหนึ่งในมหานครนิวยอร์ก ญาติชาวนิวยอร์กได้ชักชวน ให้ไปลิ้มลองอาหารแนวอเมริกันไดเนอร์ ที่ร้านชื่อดัง Junior’s ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของผมแถว ๆ มิดทาวน์ เมื่อผมไปถึงพบว่าต้องรอคิวราว 20 คิว แต่ที่แย่กว่านั้นคือญาติผมฝ่ารถติดของคืนวันศุกร์เข้ามาไม่ไหว ทำให้เขาต้องหยิบยื่นข้อเสนอแสนอร่อยแห่งใหม่มาเป็นการแก้ตัว นั่นก็คือ Fraunces Tavern ร้านเหล้าเก่าแก่ที่สุดในนิวยอร์กแห่งหนึ่ง ซึ่งมีขายอาหารด้วย
ทีแรกผมกะจะไม่ไป เพราะต้องเดินราว 1 กิโลเมตรจาก 7th Aveunue เพื่อไปหาญาติที่จอดรออยู่แถว Park Avenue แล้วพากันขับรถไป แต่ในที่สุดก็ยอม ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งของผมในทริปนั้น เพราะเมื่อทราบประวัติความเป็นมาของร้านแห่งใหม่นี้ อาหารที่ยังไม่ทันได้เข้าปากก็อร่อยเหาะเสียแล้ว
Fraunces Tavern แห่งนี้ตั้งอยู่แถว ๆ Financial District ที่ 54 Pearl Street ปลายเกาะ Manhattan และมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1762 หรือกว่า 250 ปีมาแล้ว ถ้าเทียบกับไทยเรา จะเป็น พ.ศ. 2305 ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย แผ่นดินพระเจ้าเอกทัต ส่วนที่อเมริกาเองสมัยนั้นก็ยังไม่เป็นประเทศเลยด้วยซ้ำ เพราะยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่
ถ้าจะให้เล่าประวัติของที่นี่ น่าจะต้องร่ายยาวกันเป็นเล่ม เพื่อให้พอได้รสชาติความเก่าแก่ขอย้อนเวลากลับไป ค.ศ. 1719 ตั้งแต่อาคารแห่งนี้ยังไม่ถูกทำเป็นโรงเตี๊ยมและร้านเหล้า แรกเริ่มเดิมทีเขาใช้เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว ๆ หนึ่งมาก่อน ต่อมาในปี ค.ศ. 1738 ได้กลายสภาพเป็นสถานเต้นรำ ก่อนจะมาเป็นอาคารพาณิชย์ในปี ค.ศ. 1759 และได้มาเริ่มเป็น Tavern หรือผมขออธิบายว่าคือโรงเตี๊ยมที่ชั้นล่างขายเหล้าในปี ค.ศ. 1762 โดยนาย Samuel Fraunces คือผู้ดำเนินการ
ในขณะที่สถานที่แห่งนี้เป็นโรงเหล้าเคล้าอาหารนี่เอง ดีลธุรกิจใหญ่ ๆ ในสมัยนั้นมักมาปิดกันที่นี่ ส่วนบรรดาอเมริกันชนผู้มีใจกู้ชาติจากการครอบครองของอังกฤษ ก็ได้มาแอบนัดพบปะเพื่อวางแผนการต่าง ๆ ที่นี่ จนก่อการสำเร็จ และมาถึงจุดยอดเมื่อทหารอเมริกันชนะสงครามปฏิวัติอเมริกัน สามารถขับไล่กองพันสุดท้ายของอังกฤษออกไปได้ George Washington ผู้นำกองทัพฝ่ายอาณานิคม ที่ในที่สุดได้เป็นประธานาธิปดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ได้มากล่าวของคุณ และบอกลากองกำลังของเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันที่นี่
หลังจากนั้นสถานที่แห่งนี้ได้ทำหน้าที่อีกหลากหลาย ตั้งแต่ขายของแห้ง ของชำ โรงเบเกอรี่ ที่พักอาศัย จนถึงกระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงการสงคราม เคยเกิดเหตุร้ายอย่าง ฆาตกรรมนักบัลเล่ต์สาวและสามี วางระเบิดก่อการร้ายคร่า 5 ชีวิต และแม้กระทั่งเกือบจะถูกทุบทิ้ง (จนทางการต้องตั้งให้ที่นี่เป็นสวนสาธารณะห้ามทำลาย) เรียกว่าสถานที่นี้ประวัติค่อนข้างจะโชกโชน
ปัจจุบัน Fraunces Tavern ยังเปิดบริการอยู่ในรูปแบบชั้นล่างขายเหล้า ขายอาหาร และมีพิพิธภัณฑ์อยู่ชั้นบน ต้อนรับทั้งผู้คลั่งใคล้ประวัติศาสตร์และผู้ถวิลหาอาหารอร่อย ๆ สไตล์ดั้งเดิม โดยมีอาหารจานเด็ดเป็น “Chicken Pot Pie” เมนูง่าย ๆ ของโปรดของท่านประธานาธิปดี George Washington
พวกผมไปถึง Fraunces Tavern ราว ๆ 2 ทุ่ม เปิดประตูเข้าไปพบกับความสลัวสไตล์ผับโบราณ เบื้องหน้าเป็นเคาท์เตอร์ต้อนรับ ทางขวาเป็น Dining Room ส่วนทานอาหารสว่างกำลังดี ทางซ้ายสลัว ๆ แบบผับ คนนั่งเต็มทุกอณูร้าน แว่วเสียงบทสนทนาเฮฮา เสียงมีดส้อมและแก้วกระทบกัน ผสมกับเสียงดนตรีแจ๊สเล่นสด แม้ฟังไม่เป็นศัพท์ แต่ก็สะกดให้รู้สึกสนุกขึ้นมาได้ทันทีที่เข้ามา
เนื่องจากเราไม่ได้จองไว้ล่วงหน้า จึงต้องรอโต๊ะอีกราว 1 ชั่วโมง ซึ่งระหว่างรอเขามีส่วนที่ขายเครื่องดื่มให้ใช้นั่งรอถึง 2 โซน ได้แก่ Independence Bar ที่อยู่ส่วนหน้าของร้านเสริฟ ค็อกเทล ไวน์ วิสกี้ และคราฟเบียร์ แยกจากส่วนทานอาหารไปคนละฝั่ง Hideout Bar โซนด้านหลังที่ต้องเดินผ่านบาร์แรกเข้าไป เน้นจิน และค็อกเทล และ นอกจากนั้นยังมี Piano Bar อยู่ชั้นบน ทานและดื่มได้ทุกอย่าง แต่มีขั้นต่ำ
เมื่อถึงเวลาของเรา ในส่วนบาร์ยังคงคึกคักอยู่ แต่ช่วง 3 ทุ่ม ในส่วนรับประทานอาหาร Dining Room เริ่มว่างบ้างแล้ว บรรยากาศในส่วนของ Dining Room ตกแต่งแบบดั้งเดิม เข้าใจว่ามีการปรับปรุงใหม่มาหลายครั้ง แต่เขายังคงทำให้ทุกสิ่งดูเหมือนอเมริกาเมื่อครั้งก่อน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะไม้หนา ๆ ม้านั่งอี้ยาวหนัก ๆ กำแพง หน้าต่าง และ ไฟห้อยเพดานแบบโบราณ พาให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีตมาดินเนอร์ที่อเมริกา ยุคประกาศอิสรภาพหมาด ๆ
เมนูที่สั่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Chicken Pot Pie จานโปรดของท่านผู้นำคนแรกของสหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่มหึมา เนื้อไก่หั่นเป็นลูกเต๋า ในซุปครีมมี่เข้มข้น ที่เคี่ยว แครอท ถั่ว หัวหอม น้ำมันมะกอก เนย พริกไทย เครื่องเทศ เห็ด ครีม จนเป็นหนึ่งเดียว เสริฟในถ้วยขอบสูงใบโต โปะด้วยแป้งพาย ที่ห่อหุ้มถ้วยไว้เกือบมิด ทานแล้วจะได้ความอร่อยเดียวกันกับผู้คนเมื่อ 2 ศตวรรษก่อน และแน่นอนว่าปริมาณขนาดนี้ อิ่มเหมือนกันด้วย
สำหรับรสชาติของ Chicken Pot Pie หากไม่ใช่แฟนอาหารง่าย ๆ ของชาวตะวันตก อาจไม่ประทับใจ แต่สำหรับในโลกของพายไก่แดนมะริกัน นี่คือสุดยอดพายไก่ ที่อร่อยแบบที่ควรจะเป็น มีรสเค็มเด่นแต่กำลังดี ผสมกับความหอมมันของส่วนผสมน้ำซุป ตักไส้พายที่อยู่ในถ้วย ทานไปพร้อม ๆ กับแป้งพาย เข้ากันดีอย่างบอกไม่ถูก หรือจะเลือกเปลี่ยนมาซดเป็นซุปเลยก็ได้ (ถ้ามีข้าวสวย ผมว่าใส่เข้าไปด้วยก็น่าจะเข้าท่า)
นอกจากสั่งเมนูเด็ดแล้ว เราได้สั่งอีกหลายอย่าง ทั้งเบอร์เกอร์ สเต็ค และเฟรนช์ฟราย ล้วนมีขนาดใหญ่มากทั้งสิ้น ส่วนรสชาติสำหรับผมคิดว่า ถ้ามาที่นี่กินอะไรก็พอใจ เพราะบรรยากาศและประวัติศาสตร์อร่อยกว่าอาหารนัก เลยแนะนำว่าหากมาที่นี่สั่ง Chicken Pot Pie ดีที่สุด เพราะอย่างน้อยถ้าได้กิน ก็เอาไปบอกเขาได้ว่ามาถึง Fraunces Tavern แล้วครับ