ผ่าปมฉาว-ตร.นอกรีต ดาราไต้หวันแฉตั้งด่าน รีด ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ 2.7 หมื่น ชูวิทย์ขย่มเปิดพยานซ้ำ

มีประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุดหย่อน สำหรับคนในแวดวงสีกากี เพราะขณะที่ทุนจีนสีเทา ก็ยังไม่เคลียร์ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐระดับไหนเข้าไปเกี่ยวข้อง

ก็มีเรื่องตำรวจรับจ๊อบ รับแขกวีไอพี ผ่านกระบวนการตรวจลงตรา แถมแต่งเครื่องแบบขับรถนำขบวนนักท่องเที่ยวจีน ที่ยังคาราคาซังไม่รู้ว่าจะยุติลงที่จุดใด

ก็ดันมีเรื่องการตั้งด่านรีดไถเงินนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน โดยเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก กระทบภาพลักษณ์การท่องเที่ยว และตอกย้ำความไม่น่าเชื่อถือของตำรวจไทย

และสิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือข้อกล่าวหาว่าหลังจากเรื่องแดง แทนที่จะดำเนินการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา กลับมีข้อกล่าวหาเรื่องการช่วยเหลือกันเอง ลบคลิปวงจรปิดเหตุการณ์ แถมทำลายน้ำหนักผู้เสียหายด้วยการปล่อยข้อมูลโจมตี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องว่าดาราไต้หวันเมาไม่รู้เรื่อง หรือทำผิดกฎหมายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า

แต่ในที่สุดก็มีการย้ายและตั้งกรรมการสอบตำรวจที่ตั้งด่าน แม้จะยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ

จึงต้องจับตาดูผลสรุปว่าจะออกมาอย่างไร และกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ขนาดไหน

โพสต์ดาราไต้หวัน

ดาราไต้หวันแฉ ตร.ไทย

สําหรับเหตุการณ์อื้อฉาวครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากที่เพจเฟซบุ๊ก “หนีห่าวไต้หวัน ฉันมาแล้ว” ได้แปลข้อความโพสต์ของดารานักแสดงชาวไต้หวัน ที่โพสต์ลงอินสตาแกรมตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาโดยระบุว่า นักแสดงสาว อัน หยู ชิง หรือชาร์ลีน อัน ที่เล่าเหตุการณ์อันเลวร้ายระหว่างมาเที่ยวประเทศไทย

ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2566 ก่อนเดินทางกลับไต้หวัน ขณะนั่งแท็กซี่กับเพื่อนเพื่อกลับโรงแรม ระหว่างทางช่วงประมาณ 01.00 น. ถูกตำรวจไทยตั้งด่านตรวจ และเรียกให้รถหยุด ขอค้นตัว ค้นกระเป๋า จับที่กระเป๋ากางเกง กระเป๋าสตางค์ และถามเรื่องวีซ่า โดยเธอยื่นหนังสือเดินทางให้ดู และบอกว่าขอวีซ่าแบบ VOA (visa on arrival) ซึ่งเป็นวีซ่าที่ขอที่สนามบินได้เลย

แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าไม่ยอมรับวีซ่า VOA ต้องใช้วีซ่าจริงที่มีตราและพิมพ์เท่านั้น

นอกจากนี้ ยังสั่งให้เพื่อนของเธอที่ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานให้ลบคลิปที่ถ่ายไว้ แล้วยื้อเวลาเจรจา โดยบอกว่าจะพาไปสถานีตำรวจ แต่ก็ไม่ได้พาไป ทำให้เธอยืนจนเมื่อยลงไปนั่งยอง ก็ถูกบอกให้ลุก ทำเสียงดุดัน บังคับให้ขอโทษ ซึ่งเธอก็ยอมทำทุกอย่าง อ้อนวอนให้ปล่อยเธอไป เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังเม็กซิกัน ที่ถูกจับค้นยา

เธอระบุอีกว่า ยื้อกันอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ก็พาเธอไปที่ลับตาคน หลบกล้องซีซีทีวีหน้าสถานทูตจีน แล้วบอกว่าต้องจ่าย 27,000 บาท ถึงจะยอมปล่อย พอยอมจ่ายถึงเรียกแท็กซี่ให้พวกเธอกลับโรงแรม

“ไม่คิดเลยว่าไปเที่ยวปีใหม่ที่ไทย หวังเจอประสบการณ์ดีๆ แต่กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายและน่ากลัวที่สุดในชีวิต ฉันจะไม่กลับไปเมืองไทยอีก อยากเตือนคนไต้หวันว่าไปไทยให้ระวัง อย่าพกเงินสดติดกระเป๋าเยอะ เพราะโดนสุ่มค้นตัว หาเรื่องยัดข้อหา และจะจับดูกระเป๋าเงินก่อน”

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบพบว่าสื่อกระแสหลักของไต้หวันก็นำเสนอข่าวดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

ร้อนจนถึงตำรวจไทย ที่ถูกกล่าวหา โดยวันที่ 26 มกราคม พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร.ระบุว่า ตรวจสอบข้อมูล ดาราสาวคนดังกล่าวเดินทางเข้าไทยเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2565 และเดินทางออกในวันที่ 5 มกราคม พักโรงแรมย่านทองหล่อ ตรวจสอบพบจุดเกิดเหตุเป็นด่านของ สน.ห้วยขวาง หน้าสถานทูตจีน พบรถแกร็บขับเข้าด่านโดยในรถมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน ไม่มีพาสปอร์ต หรือสำเนามาแสดง ไม่สามารถสื่อสารรู้เรื่อง ระบุจะให้เพื่อนส่งรูปพาสปอร์ตที่อยู่ที่โรงแรมมาให้ แต่ผ่านมาระยะเวลาหนึ่งก็ไม่ส่งมาก่อนโวยวาย เจ้าหน้าที่จึงปล่อยไป เพราะรู้แหล่งที่พักแน่นอน

ยืนยันไม่มีการเรียกเงินตามข่าว สอบสวนเจ้าหน้าที่ไม่ได้เรียกรับผลประโยชน์ ไม่ได้เดินนำนักท่องเที่ยวเข้าซอย ฮึ่มหากตรวจสอบไม่เป็นไปตามที่นักแสดงระบุ ตำรวจจะต้องดำเนินการบางอย่างเพื่อชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้อง

การันตีตำรวจไทยไม่ประพฤติชั่วแน่ๆ!!!

แฉชุดรีดรับสารภาพแล้ว

ไม่ใช่แค่โฆษกตำรวจที่ออกมาตอบโต้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ก็ยืนยันว่าเหตุการณ์ตั้งด่านมีจริง เป็นไปตามนโยบายการระดมกวาดล้างอาชญากรรมและป้องกันเหตุช่วงปีใหม่

เจ้าหน้าที่ระบุว่า นักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมพกบุหรี่ไฟฟ้า เจ้าหน้าที่แจ้งว่าผิดกฎหมาย แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง แถมมีคลิปอัดเสียงไว้ แต่หาไม่เจอ

ขณะที่ พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น. เรียกประชุมกรณีตำรวจ สน.ห้วยขวาง เพื่อสอบสวนเรื่องดังกล่าวก่อนระบุว่า ชุดปฏิบัติการ 7 นาย ที่เข้าให้ข้อมูลยืนยันไม่มีการเรียกรับเงินนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน แต่ยอมรับว่า มีการโต้เถียง เนื่องจากขอเรียกตรวจสอบหนังสือเดินทาง แต่นักท่องเที่ยวไต้หวันมึนเมา อ้างว่าไม่ได้พกพาหนังสือเดินทางติดตัวมาด้วย แต่สื่อสารไม่เข้าใจ

ประกอบกับในเวลาดังกล่าว เป็นช่วงใกล้เวลาของการยกเลิกจุดตรวจ ว.43 เคลื่อนที่ป้องกันเหตุอาชญากรรม จึงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวเดินทางกลับไปได้ เนื่องจากหัวหน้าชุดจุดตรวจ ประเมินแล้วว่าไม่น่าจะเป็นบุคคลที่เป็นภัยหรือเป็นอันตราย

ยืนยันไม่มีรีดไถ และได้ให้กำลังใจนายตำรวจชั้นผู้น้อยระดับปฏิบัติการ ไม่ให้เสียขวัญมากไปกว่านี้

เช่นเดียวกับนายวิเชษฐ์ อายุ 40 ปี คนขับรถแกร็บ ก็เข้าให้ปากคำกับ ตร.ห้วยขวาง ระบุว่า รับผู้โดยสารมาจากย่านอาร์ซีเอ เมื่อขึ้นรถหญิงสาวมีลักษณะมึนเมา พูดจาโวยวาย จนมาถึงด่านตรวจ ก็ถูกเชิญลงจากรถ ไม่เห็นตำรวจแตะต้องทรัพย์สิน จากนั้นก็รอผู้โดยสารไม่ไหว ขับรถออกจากด่านตรวจไป

ทำให้เกิดกระแสตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการกุเรื่องสร้างความเสียหายให้กับวงการตำรวจไทยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ฟ้าก็ผ่าลง บช.น.อีกจนได้ เมื่อชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จอมแฉเจ้าเก่าออกมาเปิดโปงว่าผลสอบตำรวจที่ด่านยอมรับแล้วว่าไถเงินจริง แถมยังกล่าวหาว่าตำรวจมีพฤติกรรมสร้างพยานหลักฐานเท็จช่วยเหลือกันเองด้วยการลบคลิปด่านหน้าสถานทูตจีน ลบคลิปกล้องตำรวจที่ด่าน ปล่อยคลิปดิสเครดิต เพื่อให้เชื่อได้ว่าเป็นการสร้างเรื่องของดาราไต้หวันเอง

ไม่เพียงแค่นั้น รายงานข่าวจาก ตร.เองก็ระบุว่ามี 1 ในตำรวจที่ตั้งด่านสารภาพแล้วว่าไถเงินนักท่องเที่ยว 27,000 บาทจริง โดยมีชายชาวสิงคโปร์เป็นคนจ่าย แล้วแบ่งเงินกันที่หน้าด่าน ที่ปกปิดและไม่ยอมรับเพราะเห็นว่าผู้เสียหายเป็นชาวต่างชาติ และไม่ได้แจ้งความดำเนินคดี

โดยคนที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดมีทั้ง ร.ต.อ. และ ส.ต.อ.

น่าตกตะลึงจริงๆ!!

ตร.สอบพยาน

แฉ 3 ตร.-พยานยันจำหน้าได้

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ ตร. เมื่อวันที่ 30 มกราคม มีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง ไปช่วยราชการ โดย พล.ต.ท.ธิติชี้แจงว่า เป็นเรื่องเข้าข่ายการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ไม่ดำเนินคดีกับนักท่องเที่ยวที่ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า อันเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร โดยไม่ได้ตรวจยึดเป็นของกลางส่งตรวจสอบและดำเนินคดี ถือว่าเข้าข่ายผิด ป.อาญามาตรา 157

ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ก็มีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.ยิ่งยศ ที่ถูกตั้งสอบข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไป ผกก.สน.หนองจอก

สร้างความงุนงงไปตามๆ กัน

ไม่เพียงแค่นั้น พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 ยังสั่งย้าย 7 ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ไปประจำ ศปก.ตร. ประกอบด้วย ร.ต.อ.ยอดฤทธิ์ ลางดุลเสน รอง สวป.สน.ห้วยขวาง ร.ต.อ.ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา รอง สว.อก.สน.ห้วยขวาง ด.ต.อธิเวช จุลพันธ์ ด.ต.กฤษฎา คำมะนา ส.ต.อ.เฉลิมชัย ศิริวังโส ส.ต.อ.วัชรนนท์ ขาวยอง ผบ.หมู่ (ป) สน.ห้วยขวาง และ ส.ต.อ.นันทวัชร์ สุวรรณา ผบ.หมู่

เป็นความผิดฐานไม่ดำเนินคดีบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องรีดไถแต่อย่างใด

ขณะที่นายชูวิทย์ ติดต่อสกาย นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ที่อ้างว่าเป็นคนจ่ายเงิน พร้อมเชิญให้บินมาไทยในฐานะพยาน พร้อมเปิดแถลงเล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุว่า กลับจากงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม ถูกเรียกตรวจ ค้นกระเป๋า ถอดรองเท้า ให้นำพาสปอร์ตแสดง เจอบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน แล้วถามว่ามาจากประเทศไหน ห้ามโทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร จนสงสัยว่าทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่

พร้อมชี้แจงว่าไม่ทราบว่าผิดกฎหมาย เพราะบุหรี่ไฟฟ้าก็ซื้อที่ตลาดห้วยขวาง และเห็นคนไทยดูดกันเป็นปกติ ขณะที่ตำรวจบอกต้องติดคุกอย่างน้อย 2 วัน แล้วก็มีตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งบอกว่า บุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8 พัน เป็นเงิน 24,000 บาท กับค่าไม่พบพาสปอร์ตอีก 3 พัน เป็น 27,000 บาท

ย้ำมีตำรวจ 3 คนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการรีดเงิน จำหน้าได้หมด

เปิดข้อมูลอย่างชัดเจน รอแค่ผลสรุปจากตำรวจเท่านั้น!!!