ศึก 2 พรรค 2 ก๊ก วัดกึ๋น ‘เล่าปี่ป้อม-ท่านประธานตู่’ สงครามครั้งสุดท้าย 3 ป.

ศึก 2 พรรค 2 ก๊ก วัดกึ๋น ‘เล่าปี่ป้อม-ท่านประธานตู่’ สงครามครั้งสุดท้าย 3 ป. ส่องพลพรรครอบกาย ทหารพรึบ!!

 

แม้คะแนนนิยมจะเป็นรอง แต่ในแง่กลยุทธ์การเดินเกมการเมืองแล้ว บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ดูจะเป็นต่อกว่าบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเงา ของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

ด้วยความเป็นพี่ใหญ่ ที่มากคอนเน็กชั่น มาตั้งแต่ยังสวมเครื่องแบบทหาร ที่มีจุดพลิกผันถึง 2 ครั้งในชีวิตรับราชการทหาร

แต่ก็ผ่านมาได้

 

ครั้งแรก ตั้งแต่การถูกบิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ในวันนี้ ที่ในตอนนั้นเป็น ผบ.ทบ. เด้งเข้ากรุ เพราะไปทริปคุนหมิงโดยไม่ได้ลาราชการ

ครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร และเพื่อนรัก บิ๊กกี่ พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อนรัก ตท.6 เป็น ผบ.พล.1 รอ. ถูกอีกฝ่ายมองว่า สร้างคอนเน็กชั่นทางการเมือง เพราะสนิทสนมกับนายเสนาะ เทียนทอง เจ้าพ่อวังน้ำเย็น เพราะรับราชการใน พล.ร.2 รอ. ในพื้นที่ปราจีนบุรี สระแก้ว และคุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จึงทำให้ พล.อ.ประวิตรและเพื่อน ตท.6 ถูกคุมกำเนิด

เพราะในเวลานั้น พล.อ.ประวิตร แม่ทัพน้อยที่ 1 เข้าไลน์ที่จะขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมกำลังปฏิวัติของ ทบ. แต่ถูกเด้งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก สร้างความฮือฮาในกองทัพบก และเป็นจุดเริ่มต้นรอยร้าวในใจระหว่าง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.สุรยุทธ์ รุ่นพี่ ตท.1 เป็นต้นมา

เพราะหากไม่มีปัญหาเรื่องขั้วอำนาจ ระดับ ผบ.ทบ. ก็คงจะสามารถช่วยกันได้ว่า ได้ลาราชการเพื่อเดินทางไปคุนหมิงแล้ว

แต่เพราะในเวลานั้น เป็นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยุคนายชวน หลีกภัย ที่เป็นคนดึง พล.อ.สุรยุทธ์ จากผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ไม่ได้เป็น 5 เสือ ทบ. แถมมีอายุราชการเหลือในตอนนั้นถึง 5 ปี ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประวิตรในเวลานั้นคือ ใกล้ชิดกับขั้วตรงข้ามนั่นเอง

แต่ที่สุด เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล มาสู่ยุคนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี คอนเน็กชั่นก็ทำให้ พล.อ.ประวิตรได้กลับเข้าไลน์อีกครั้ง ได้เป็นผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ ก่อนจะผงาดขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1

 

ครั้งที่ 2 เมื่อครั้งขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. แต่หมดโอกาสขึ้นเป็น ผบ.ทบ. เพราะนายกฯ ทักษิณในเวลานั้น ตั้งบิ๊กตุ้ย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติผู้พี่ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ที่เกษียณกันยายน 2548 พร้อมกัน

แต่การตั้งเครือญาติชินวัตร ถูกโจมตีอย่างหนัก เพราะ พล.อ.ชัยสิทธิ์หลุดจาก ทบ. ไปอยู่ บก.ทัพไทย และไม่ได้ผ่านตำแแหน่งหลักในไลน์คุมกำลัง ที่จะขึ้น ผบ.ทบ. แถมเป็นเหล่าทหารช่าง

ประกอบกับปัญหาภายในหมู่เครือญาติชินวัตร และมีปัญหากับบ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ดูจะแฮปปี้กับ พล.อ.ประวิตรมากกว่า เพราะกำลังจะจับคู่ พล.อ.ประวิตรให้กับสตรีคนใกล้ชิด จึงทำให้นายทักษิณย้าย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ขึ้นไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวคิดว่าจะได้เป็น ผบ.ทบ. 2 ปีจนเกษียณ

แล้วนายทักษิณก็ตั้ง พล.อ.ประวิตรขึ้นเป็น ผบ.ทบ. สร้างความฮือฮาในกองทัพ ที่นายกฯ ย้ายพี่ชาย แล้วเอา พล.อ.ประวิตรขึ้นแทน

อันเป็นการสะท้อนถึงการเดินเกมการเมืองของ พล.อ.ประวิตร ตั้งแต่ยังเป็นทหาร และได้วางตัวทายาทให้เข้าไลน์สู่อำนาจ ทั้งบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เติบโตจาก ร.21 รอ. และ พล.ร.2 รอ. มาด้วยกัน

จน พล.อ.อนุพงษ์ ได้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมขุมกำลัง ตัดหน้าบิ๊กต้น พล.อ.จิรสิทธิ์ เกษะโกมล เพื่อน ตท.10 ที่อยู่ในก๊วน เสธ.ไอ๊ซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต ที่สนิทสนมกับนายทักษิณมากกว่า

 

ไม่แค่นั้น การเดินเกมของ พล.อ.ประวิตรหลังเกษียณ และในนามพี่น้อง 3 ป. ก็ทำให้ พล.อ.ประวิตรเข้าสู่สนามการเมือง หลังช่วยจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ถกดีลลับที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เซฟเฮาส์ของ พล.อ.ประวิตร จนทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเชิญให้ พล.อ.ประวิตรมาเป็น รมว.กลาโหม โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ที่เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่ดีลกับ 3 ป. หอบกุหลาบแดงมาเชิญด้วยตนเอง

พล.อ.ประวิตรจึงถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดแผงอำนาจ 3 ป. และครองอำนาจมายาวนานในกองทัพ จนเข้าสู่การเมือง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. น้องเล็กของ 3 ป. นำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่รู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ก็เป็นที่ปรึกษาของ พล.อ.ประยุทธ์

ด้วยการเจนจบในการเมือง พล.อ.ประยุทธ์จึงมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่รับผิดชอบงานการเมือง ตั้งแต่รัฐบาล คสช. จนตั้งพรรคพลังประชารัฐ สู้ศึกเลือกตั้ง ปี 2562 และกลายเป็นผู้จัดการรัฐบาล จนทำให้เป็นแกนนำ ชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง ได้ ส.ส.ในสภามากที่สุดก็ตาม แต่มีกลไก 250 ส.ว. ที่หัวหน้า คสช.แต่งตั้งไว้ สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล 18 พรรค และเสียงปริ่มน้ำ

จน พล.อ.ประวิตร ก็เดินเกมจนเสียง ส.ส.ฝั่งรัฐบาลมากขึ้น

 

การที่ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในอำนาจมาจนถึง 8 ปีนี้ เป็นการสะท้อนความเจนจัดการเมือง บารมี และคอนเน็กชั่นของ พล.อ.ประวิตรด้วยนั่นเอง พล.อ.ประวิตรจึงกล้าระบุในจดหมายเปิดใจฉบับที่สอง ว่า ผมไม่ใช่มือใหม่ในทางการเมือง และเป็นผู้ประคับประคองรัฐบาลมาจนถึง 8 ปี

ยิ่งเมื่อใช้กลยุทธ์รวบรวมไพร่พล แม่ทัพนายกอง ดึงคนที่เคยอยู่พรรคพลังประชารัฐกลับมาอีกครั้ง ทั้งการดึงสองกุมาร นายอุตตม สาวนายน อดีตหัวหน้าพรรค พปชร. และอดีตหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตเลขาธิการพรรค สอท.

รวมทั้งน้องรักสายเลือดทหาร อย่างบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ก็ลาออกจากหัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน กลับ พปชร. มาเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค

หรือแม้แต่ต้องดึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มาช่วยงานในสถานะพิเศษ คือแม้สถานภาพจะยังเป็น ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย ไม่ได้มามีตำแหน่งในพรรค พปชร. เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับแกนนำพรรคที่ยังคงอยู่ พปชร. แต่เป็นที่รู้กันว่า เป็นมือทำงานของ พล.อ.ประวิตร

 

การเดินเกมของ พล.อ.ประวิตรในลักษณะนี้ ทำให้นายสนธิรัตน์ เปรียบเทียบ พล.อ.ประวิตร กับเล่าปี่ ตัวละครเอกในสามก๊ก ที่รวบรวมคนเก่งมาช่วยงาน เพื่อแก้ปัญหาให้ชาติบ้านเมือง

อีกทั้งลักษณะเด่นของเล่าปี่ คือการรู้จักใช้คน ซึ่งก็ตรงกับที่ พล.อ.ประวิตรระบุในจดหมายเปิดใจว่า นักการเมือง ไม่จำเป็นต้องพูดเก่ง แต่ต้องคิดเก่ง และรู้จักใช้คนเก่ง ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ฟังเก่ง และฟังรู้เรื่องด้วย

เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตรนั้นมีพลพรรคไม่น้อย ทั้งน้องชายในสายเลือด บิ๊กป๊อด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ที่มักถูกพาดพิงมาตลอด และมีอิทธิพลทางความคิดกับพี่ชายไม่น้อย ส่วนบิ๊กปุ้ม พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ก็เป็นมือประสานในสาย ส.ว.

ขณะที่ในทางการเมือง และพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตรมีทั้งบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกลาโหม เป็นมือทำงาน และเป็นลูกรักที่เป็นเลขานุการส่วนตัวไปด้วย และ เสธ.โย พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงศ์ ที่เป็นมือประสานกับ ส.ส.พปชร.และการจัดคิวเข้าพบ รวมทั้งเป็นพลังดูด และป้องกันพลังดูดของพรรคอื่นด้วย

รวมทั้งการให้ อ.แหม่ม นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค มาช่วยดูแลพื้นที่ กทม. ร่วมกับจั้ม สกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.และอดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. และให้ทั้งสองทีมดูแลเรื่องสื่อและโซเชียลมีเดียของพรรคด้วย เพราะนางนฤมลก็เคยเป็นโฆษกรัฐบาล ส่วนนายสกลธีก็มีทีมทำงานตั้งแต่สมัครชิงผู้ว่าฯ กทม.

 

ไม่นับรวมการมอบหมายให้ทีมงานที่เป็นทหารเก่า โดยเฉพาะเตรียมทหาร 20 มาช่วยดูแลแก้ปัญหาเรื่องที่ดิน และการบริหารจัดการน้ำทั้ง 4 ภาคทั่วประเทศ ที่ถือว่าเป็นการสร้างผลงาน ที่ชาวบ้านได้รับประโยชน์ และมีผลต่อคะแนนนิยม

โดยมีบิ๊กตู่ พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา อดีต ผช.ผบ.ทบ. น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ และบิ๊กป้ำ พล.อ.นภนต์ สร้างสมวงษ์ อดีตรองปลัดกลาโหม และทีมตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่เป็นฟันเฟืองในการลงพื้นที่ทำงานและติดตามงาน จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเคลมว่า เป็นคนอนุมัติเอง และเป็นคนตั้ง สนทช. แต่มอบให้ พล.อ.ประวิตรกำกับดูแลเท่านั้น

ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประวิตรประกาศพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกาย ที่ต้องกลับมาใช้สูตร “ใจบันดาลแรง” อีกครั้ง เหมือนตอนที่เป็นรักษาการราชการแทนนายกฯ 38 วัน พร้อมทั้งการแสดงให้เห็นว่า ยังไหว ด้วยการโชว์ภาพชิลๆ วันหยุด นุ่งกางเกงยีนส์ ใส่แจ๊กเก็ต รองเท้าผ้าใบ ไหว้พระ รับประทานอาหาร พบปะเพื่อนๆ ตท.6 โดยเฉพาะใส่แจ๊กเก็จลายเสือ แบรนด์ไทย ไปเดินตลาด

ไม่แค่นั้น ในด้านความรู้ความสามารถ พล.อ.ประวิตรเข้าคอร์สติวเข้มด้านเศรษฐกิจ โดยมีนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ย้ายมาอยู่ พปชร. เป็นคนติวให้ โดยมีรายงานว่า ในช่วงเช้ามืดที่ พล.อ.ประวิตรมาถึงมูลนิธิป่ารอยต่อฯ นายมิ่งขวัญก็จะมาติวเศรษฐกิจให้ ก่อนที่ พล.อ.ประวิตรจะไปทำงาน หรือมีประชุม

นี่เองที่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พล.อ.ประวิตรพูดบนเวทีในงานระดมทุนพรรค พปชร.ที่ผ่านมาว่า ผมเองไม่รู้ทุกเรื่อง แต่ผมมีคนที่รู้จริงอยู่รอบตัว ผมก็ฟัง หาผู้ที่รู้มากกว่าผมมาสอน มาแนะนำการทำงานว่า ควรจะต้องทำยังไงๆ เอาความรู้มาใส่ในตัวผมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” และพร้อมจับมือกับทุกพรรคการเมือง ที่ยิ่งทำให้กระแสข่าวดีลระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทย ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น

ไม่แค่นั้น ในบ้านป่ารอยต่อฯ ก็ยืนยันว่ามีการเจรจาหยั่งเชิง ต่อรอง จับขั้วจัดตั้งรัฐบาลกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้ง พปชร. กับพรรคประชาธิปัตย์ และกับพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่พรรคภูมิใจไทย โดยมี พล.อ.ประวิตรเป็นผู้จัดการรัฐบาล เป็นตัวประสาน สลายขั้วอีกด้วย

เสธ.อ้น พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา

ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็สู้เต็มที่ เพราะก็เป็นสงครามครั้งสุดท้ายของตนเองด้วยเช่นกัน จึงต้องมีการวางแผนที่รอบด้าน โดยใช้ทั้งทีมนายทหารฝ่ายเสนาธิการ ทีมตึกไทยคู่ฟ้า และทีมของพรรครวมไทยสร้างชาติ

พล.อ.ประยุทธ์ชิงความได้เปรียบในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ เข้ามามีตำแหน่งในทำเนียบรัฐบาลและทำงานใกล้ตัว

ตั้งแต่ ตั้งตุ๋ย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อยู่ใกล้ตัว นั่งทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้าด้วยกัน และลงพื้นที่ด้วยกันแบบเป็นเงาตามตัว จนถูกเรียกว่าเป็นนายกฯ น้อย และนายกฯ เงา เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ไว้วางใจและเชื่อมือ ในฐานะอดีตผู้พิพากษา เป็นนักกฏหมาย ที่กลั่นกรองทุกอย่างให้นายกฯ

รวมทั้งนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี นายชัชชวาลย์ คงอุดม นายชุมพล กาญจนะ และแรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์ มาเป็นที่ปรึกษานายกฯ

ส่วนนายธนกร วังบุญคงชนะ ก็เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ และดึงนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาฯ นายกฯ และโฆษกรัฐบาล และอ้น ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกรัฐบาล เข้า รทสช.

ดังนั้น เมื่อมองไปรอบกาย พล.อ.ประยุทธ์ ในทำเนียบรัฐบาล จึงแวดล้อมไปด้วยคน รทสช.

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จากก้าวแรกสู่การเป็นนักการเมือง ด้วยการสมัครเป็นสมาชิก รทสช. และจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ลงพื้นที่ ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงด้วยแล้ว ยังนั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค รทสช. ที่เปรียบเสมือนเป็นซูเปอร์บอร์ด หรือโปลิตบูโร ที่มีอำนาจเหนือคณะกรรมการบริหารพรรคในทางพฤตินัย เพราะมีแกนนำพรรคร่วมเป็นคณะกรรมการซ้อนอีกชั้นหนึ่ง แต่ในทางนิตินัย คณะกรรมการบริหารพรรคเท่านั้นที่เป็นผู้บริหารสูงสุด

ที่ก็เปรียบเสมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือหัวหน้าพรรคเงา หรือหัวหน้าพรรคตัวจริง ในนามท่านประธานโปลิตบูโร

เสธ.หิ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ

ในเมื่อมาขนาดนี้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็ก้าวมาอีกก้าว ในการเป็นนักการเมือง เพราะอาจลงสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ อันดับ 1 ของพรรค ตามที่แกนนำพรรคเสนอ เพื่อเป็นแผนรองรับ หาก พล.อ.ประยุทธ์ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย แต่ไปต่อได้แค่ 2 ปี แต่ยังมีสถานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีที่นั่งในสภาต่อ

และอาจเป็นจังหวะที่มีการเคลื่อนไหวของ ส.ว.ในการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเอาข้อกำหนดนายกฯ 8 ปีทิ้งไป เปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่ ส.ว.จะหมดอายุไปในปี 2567 และยังเป็นการลบข้อครหาที่ว่าไม่ได้มาตามระบอบประชาธิปไตย จากที่เคยเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ แต่ที่สุดมาตั้งพรรค และลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เอง

นั่นหมายถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์อาจจะยอมทิ้งโอกาสที่จะได้เป็น มีตำแหน่งสำคัญหลังเกษียณ ในฐานะที่เคยเป็นทหารรักษาพระองค์ หลังวางมือทางการเมืองด้วยหรือไม่ เพราะจะกลายเป็นสถานภาพของนักการเมืองไปแล้ว

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังมีนายทหารฝ่าย เสธ. ทั้งที่เป็นทหาร และที่เป็นอดีตทหารมาช่วยงาน ในฐานะที่เป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 1 อดีต ผบ.ทบ. และยังเป็น รมว.กลาโหม ที่ก็มีลูกน้องเก่าไม่น้อย

และมี เสธ.อ้น พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา ที่ลาออกจาก ส.ว.มาช่วยงานพรรค รทสช.อยู่เบื้องหลัง ในฐานะน้องรักทหารเสือฯ ที่เคยอยู่ ร.21 รอ.ด้วยกันมา

และมี เสธ.หิ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ลูกน้องเก่า ทหารเสือฯ ร.21 รอ. ที่ยอมแยกทางเดินกับ ร.อ.ธรรมนัส เพื่อน ตท.25 และเคยเดินในเส้นทางคนมีสีมาด้วยกัน มาช่วย พล.อ.ประยุทธ์แบบเต็มตัว โดยเฉพาะในการลงพื้นที่ต่างๆ

เพราะในเมื่อ พล.อ.ประวิตรมี ร.อ.ธรรมนัสไว้ทำงานการเมือง ทั้งบนดิน ใต้ดิน พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องมี เสธ.หิ ทหารสีเทาๆ มาช่วยงานด้วยเช่นกัน โดย เสธ.หิ ยังได้รับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือ ในการทำพื้นที่หาเสียง

ส่วนภาคใต้ มอบให้นายธนกร และนายวิทยา แก้วภราดัย คุมภาคอีสาน ส่วนภาคตะวันออกและภาคกลาง มีนายสุชาติ ชมกลิ่น และนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส่วน กทม. นายพีระพันธุ์ดูแลเอง

นอกจากนี้ ยังมี เสธ.นิว พล.อ.นิธิ จึ่งเจริญ อดีตทหารเสือฯ ร.21 รอ. ที่มาเป็นทีมตึกไทยคู่ฟ้ามาหลายปี ที่สุดยอมเสียสละ ลาออกจากราชการทหารเมื่อสิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ตอนยศพลโท เข้าโครงการเกษียณก่อนกำหนด ก็จะได้เป็นพลเอก และมาทำงานการเมืองให้ พล.อ.ประยุทธ์ โดยไปดูพรรค รทสช.ให้นายกฯ

และยังมี เสธ.เปิ้ล พล.ต.เจียรนัย วงศ์สะอาด ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักปลัดกลาโหมมาช่วยอีกแรง นอกเหนือจากที่ทำเนียบ มีเพื่อน ตท.29 ช่วยงานนายกฯ อยู่ เช่น เสธ.นุ้ย พล.ท.ฐิตวัชร์ เสถียรทิพย์ ที่เป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี หรือพีม็อค และมีแกนนำรุ่นอีกหลายคนมาช่วยงาน

ที่ทำให้ ตท.29 ถูกมองเป็นรุ่นสายตรงบิ๊กตู่

เสธ.นิว พล.อ.นิธิ จึ่งเจริญ

ศึกเลือกตั้งคราวนี้จึงไม่ใช่แค่ศึกของพี่น้อง 3 ป. พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร ระหว่างพรรค รทสช.กับ พปชร.เท่านั้น แต่ยังเป็นศึกสายเลือดทหาร ต่างรุ่น ต่างขั้ว ที่ต่างก็ต้องทำเพื่อนายของตัวเองทั้งสิ้น

รอยร้าวในกองทัพจึงเกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งเมื่อการเปลี่ยนรัฐบาล และเปลี่ยนนายกฯ มีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายทหารครั้งใหญ่ ที่รออยู่ในเดือนกันยายนนี้ เพราะนายกฯ คนใหม่จะได้ตั้งทั้ง ผบ.ทหารสูงสุด, ผบ.ทบ., ผบ.ทร., ผบ.ทอ. และ ผบ.ตร.อีกด้วย

ในขณะที่กองทัพก็กำลังถูกจับตามอง เพราะ ผบ.เหล่าทัพกำลังจะเกษียณพร้อมกัน แถมเป็นเพื่อน ตท.22 ด้วยกัน ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวายจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจที่เข้มข้น ทั้งนักการเมืองด้วยกันเอง และนักการเมืองที่เป็นทหารเก่า รวมทั้งพลพรรคที่เป็นสายเลือดทหาร อะไรก็เกิดขึ้นได้