เตือนประชาชนก่อนลงสนามเลือกตั้ง | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อประธานสภาอีกครั้ง โดยขอแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 159 ประเด็นที่มาของนายกฯ โดยยังคงประเด็น ผู้สมควรเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ซึ่งมีเสียงในสภา 25 เสียงขึ้นไป แต่ขอเพิ่มที่มานายกฯ ว่า ต้องมาจากการเป็น ส.ส.

รวมทั้งให้ยกเลิก มาตรา 272 ที่ให้ ส.ว. 250 คน สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้

การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตราดังกล่าว ในช่วงที่สภาเหลืออายุอีกไม่นานนัก รวมทั้งยังไม่รู้ว่าจะยืดไปจนครบวาระเดือนมีนาคม หรือจะยุบสภากันก่อน เช่นนี้แล้วคงไม่ได้หวังผลในทางปฏิบัติ

แต่น่าจะหวังผล ปลุกกระแสประชาชนให้ตื่นตัวในประเด็นดังกล่าว เป็นการปูกระแสก่อนจะถึงการเลือกตั้งในต้นปีหน้า

ปลุกให้ประชาชนตระหนักว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ยังมีประเด็นที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยและเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย นั่นคือ ที่มาของนายกรัฐมนตรี

ยังไม่กำหนดให้ชัดเจนว่า ต้องมาจาก ส.ส.

รวมทั้งอำนาจของ 250 ส.ว. ในการโหวตนายกรัฐมนตรี ยังคงอยู่ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ซึ่งมีผลบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนที่ไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง

ดังบทเรียนในการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เลือกพรรคเพื่อไทย ได้ ส.ส.เข้าสภาเป็นอันดับ 1 แต่พรรคที่ได้ ส.ส.น้อยกว่า กลับจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะมี พรรค 250 ส.ว.รอโหวตให้ในสภา

การเอาอำนาจ 250 ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้ง มาอยู่เหนืออำนาจประชาชนที่ไปเลือกตั้งมีผลอย่างไร มีผลคือ การได้นายกฯ ที่เคยก่อรัฐประหาร เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 มาเป็นนายกฯ ต่อ ด้วยกลไก 250 ส.ว.นี่เอง

จากนั้นเราก็ได้นายกฯ ที่เก่งแต่เรื่องการทหาร บริหารประเทศต่อเนื่องไปอีก รวมแล้ว 8 ปี มีแต่เสื่อมถอยทางด้านเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องประชาชนรุนแรงและกว้างขวาง

ไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นได้ เพราะไม่มีวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจที่แหลมคม ไม่มีสายตากว้างไกลเท่าทันโลก

ถ้าประชาชนยังประมาทอำนาจ 250 ส.ว. ก็หมายความว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า จะได้นักการทหารมาบริหารประเทศต่อไปอีก

น่าเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยกำลังปูกระแสในเรื่องที่มานายกฯ และอำนาจ 250 ส.ว. เพื่อปลุกประชาชนให้เตรียมพร้อมกับการเลือกตั้งที่จะมาถึง

ด้วยการยื่นขอแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นนี้ ในช่วงระยะนี้

*โหมโรงให้รู้กันทั่วว่า ถ้าไม่เลือกฝ่ายประชาธิปไตยแบบแลนด์สไลด์ ก็จะปิดสวิตช์อำนาจ 250 ส.ว.ไม่ได้!*

 

ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่า ยังจะเดินหน้าต่อไปในการเมืองสมัยหน้า บอกชัดว่า แม้จะมีวาระอยู่ต่อได้อีก 2 ปี แต่ถ้าได้เป็นนายกฯ อีก ก็จะพยายามทำงานให้ดีที่สุด

อีกทั้ง มีความเคลื่อนไหวเตรียมพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อเป็นฐานใหม่ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ แทนพรรคพลังประชารัฐเรียบร้อยแล้ว

น่าคิดว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคการเมืองใหม่ มีแกนนำจาก กปปส. เช่น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ที่มีพ่อเลี้ยงชื่อสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปจนถึงแกนนำม็อบนกหวีดอีกหลายๆ ราย

ดูแล้ว ยังไม่มีนักการเมืองมืออาชีพ ที่จะนำพรรคลงสนามเลือกตั้งได้อย่างเชี่ยวชำนาญ

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์เอง โพลหลายโพลบอกชัดว่า มีคะแนนนิยมอยู่เฉพาะพื้นที่ภาคใต้ เพราะเป็นภาคที่ฝังใจต่อต้านทักษิณ

ดูไปแล้วก็น่าคิด พรรคใหม่ที่ยังไม่เห็นโอกาสชนะเลือกตั้งได้มากมายนัก มีภาพเป็นแกนนำม็อบนกหวีด ที่ร่วมกันกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในการยึดอำนาจเมื่อปี 2557 แถมได้ผู้นำที่จะลงชิงเก้าอี้นายกฯ ซึ่งมีคะแนนแน่นอนแค่ภาคใต้

เอาอะไรมามั่นใจว่าจะได้เป็นนายกฯ ต่อไปอีก 2 ปี

คงมีความเชื่อมั่นอยู่อย่างเดียว นั่นคือ พรรค 250 ส.ว.

แม้จะมีประเด็นการแยกทางกันเดินระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

แม้ว่าความสัมพันธ์พี่น้อง 3 ป.ยังมีอยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เกิดความอึดอัดไม่ลงตัวบางประการ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จำต้องย้ายพรรคมาสังกัดรวมไทยสร้างชาติ

ความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นแฟ้นดังเดิม มีความเป็นไปได้ที่ 250 ส.ว. จะแตกเป็น 2 ขั้ว

แต่ก็ประมาทไม่ได้ เมื่อรัฐธรรมนูญยังเปิดช่องให้ 250 ส.ว. ยังแทรกแซงในขั้นตอนโหวตนายกฯ อันหมายถึงการตั้งรัฐบาล

ยังเปิดช่องให้ 250 ส.ว. อยู่เหนืออำนาจประชาชนที่ไปเลือกตั้ง

ดังนั้น เป็นไปได้มาก ที่พรรคเพื่อไทยคงโหมกระแสปูทาง ให้ประชาชนตระหนัก เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง แบบต้องเลือกเพื่อหยุดอำนาจ ส.ว.ให้ได้

 

ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ หยุดอำนาจโหวตนายกฯ ของ 250 ส.ว. มักโดนตอบโต้จากฝ่ายวุฒิสมาชิกว่า รัฐธรรมนูญให้อำนาจเอาไว้จริง แต่ถ้าสภาผู้แทนสามารถตกลงกันได้ ในการเลือกตัวนายกรัฐมนตรี ใช้เสียงส่วนใหญ่ของ ส.ส.ให้ได้เกิน 375 เสียง แค่นี้ก็เท่ากับเสียง 250 ส.ว. จะไม่มีผลอะไรเลย

ส.ว.จึงเสียงแข็งว่า ไม่จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญประเด็นนี้ ถ้ารวม ส.ส.ให้ได้เกิน 375 ก็ชนะได้ทันที

แต่นั่นไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด

ความจริงของประเด็น 250 ส.ว.ก็คือ เป็นการทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถใช้ 250 เสียงนี้เป็นฐานอำนาจ แล้วเอามาดูดพรรคการเมืองต่างๆ ให้เข้ามาร่วม เพราะขั้วของประยุทธ์ มีอยู่ 250 เสียงแน่นอนแล้ว

ช่องทาง 250 ส.ว. คือกลไกที่เอารัดเอาเปรียบ และบิดเบือนผลการเลือกตั้ง

เอา 250 เสียง ส.ว. มาเป็นเครื่องมือ เพื่อดูดพรรคการเมืองต่างๆ ให้ไหลเข้ามาร่วมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เสียงของฝ่ายพรรคประชาธิปไตย ไม่สามารถรวมได้เกิน 375 เสียง

พรรคการเมืองขั้วประชาธิปไตย เสียเปรียบตั้งแต่ในมุ้ง เพราะ 250 ส.ว. ตั้งขึ้นมาเพื่อโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ กำหนดแนวทางนี้ตั้งแต่ตอนเขียนรัฐธรรมนูญแล้ว

นี่คือการเอารัดเอาเปรียบอย่าน่ารังเกียจ

ดังนั้น ประชาชนคนไทยต้องเรียนรู้บทเรียนจากการเลือกตั้งปี 2562 ว่า ถ้าไม่เลือกให้ฝ่ายประชาธิปไตย จนรวมกันได้เกิน 375 เสียง ก็จะเสียเปรียบอีกฝ่าย ที่มี 250 ส.ว.อยู่ในมืออยู่แล้ว แค่มี ส.ส.เกิน 125 เสียงนิดหน่อย ก็โหวตชนะได้ทันที

ประเด็นอำนาจ 250 ส.ว.ที่ยังดำรงอยู่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า และประเด็นสนับสนุนให้นายกฯ มาจาก ส.ส.เท่านั้น

น่าจะเป็นประเด็นที่จะมีการโหมเพื่อปูทางไปถึงวันเลือกตั้ง

ปลุกประชาชนให้ลงสนามเลือกตั้ง อย่างมุ่งมั่นว่าต้องเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยแบบแลนด์ไสลด์ ต้องชนะถล่มทลายเท่านั้น

การเมืองไทยจึงจะเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น!