คืนฝันก่อนฉันลืมเธอ

วัชระ แวววุฒินันท์

คืนฝันก่อนฉันลืมเธอ

 

หากใครเป็นแฟนภาพยนตร์ญี่ปุ่นแนวโรมานซ์อบอุ่นดีต่อใจ ก็คงชอบหนังเรื่องนี้ “คืนฝันก่อนฉันลืมเธอ” หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า “Even If This Love Disappears Tonight”

เป็นฝีมือการกำกับฯ ของ “ทากาฮิโระ มิกิ” ที่ช่ำชองในการสร้างหนังแนวนี้ และเรื่องนี้ ก็เอาอยู่จนคนดูอดร้องไห้ตามไม่ได้ ซึ่งจะว่าไปแล้วพล็อตเรื่องก็ไม่ได้ฉีกจากหนังแนวนี้สักเท่าไหร่ แต่รายละเอียดที่ใส่ในหนังมันช่างกลมกล่อมและทำหน้าที่ของ “หนัง” ได้อย่างดี ทั้งการแสดง งานภาพ ดนตรีประกอบ และบทภาพยนตร์

หนังดัดแปลงมาจากนิยายของ “มิซากิ อิชิโจะ” เขียนบทโดย “ฮานะ มัตสึโมโตะ” และ “โช สึกิคาวะ” ที่ฝากผลงานที่น่าประทับใจมาแล้วหลายชิ้น

หนังเล่นกับเรื่อง “ความทรงจำ” ที่ผมจะเขียนถึงเป็นพิเศษในตอนท้าย เมื่อนางเอกของเรื่อง คือ “ฮิโนะ มาโอริ” เกิดอุบัติเหตุรถชนจนเธอต้องสูญเสียความทรงจำไป แต่ไม่ใช่เสียไปเลย หากแต่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในวันนี้ เมื่อตกกลางคืนนอนหลับไป พอตื่นขึ้นมาเธอก็จะจดจำเรื่องราวของเมื่อวานไม่ได้เลย

จึงเหมือนกับการเรียนรู้ชีวิตใหม่ๆ ในทุกๆ วันเสมอ

สิ่งเดียวที่จะเชื่อมต่อ เพื่อให้เธอต่อติดกับชีวิตที่ผ่านมาคือ “การเขียนไดอารี” ทุกๆ วันก่อนเข้านอนว่าวันนี้พบเจอกับอะไรมาบ้าง ในห้องนอนของมาโอริ จะมีป้ายติดเพื่อเตือนความทรงจำอยู่รอบห้องไปหมด เช่น ฉันเป็นคนความจำเสื่อม จงอ่านไดอารีในโน้ตบุ๊กทุกเช้า, อย่าลืมเขียนไดอารี่ในโน้ตบุ๊กก่อนนอน, คนที่ไว้ใจได้คือ พ่อ แม่ และวาตายะ เพื่อนสนิทเท่านั้น, ห้ามไปนอนหลับนอกบ้านเป็นอันขาด เป็นต้น

ตื่นเช้ามาเธอก็จะต้องพบเจอหน้าผู้เป็นพ่อและแม่ที่เป็นเหมือนคนแปลกหน้า และจะทักทายถามคำถามเดิมๆ ทุกวันเกี่ยวกับตัวเธอและความทรงจำของเธอ

ชีวิตที่เกิดขึ้นจึงเป็นอะไรที่วนเวียนซ้ำซากเช่นนี้ มีแต่ที่โรงเรียนมัธยมและบ้าน ซึ่งสังคมภายนอกไม่มีใครล่วงรู้ความลับของเธออันนี้ นอกจากวาตายะ เพื่อนสนิทคนเดียวเท่านั้น

จนเมื่อวันหนึ่งมีเด็กหนุ่มที่เรียนระดับชั้นเดียวกัน เดินเข้ามาพูดตรงๆ ว่า ขอให้เธอคบกับเขาเป็นแฟนได้ไหม? ทั้งที่ไม่เคยพูดจารู้จักกันมาก่อน หากเป็นเหตุการณ์ปกติ มาโอริคงปฏิเสธและลุกเดินหนีไป แต่เธอกลับตอบรับด้วยความเต็มใจ เพราะนั่นดูจะเป็นสิ่งที่มาเติมสีสันใหม่ให้กับชีวิตเธอได้บ้าง

ซึ่งเด็กหนุ่มคนนั้นที่มีชื่อว่า “คามิยะ โทรุ” ก็แปลกใจไม่น้อยที่เธอตอบรับเช่นเดียวกัน

เธอนัดพบกับเขาหลังเลิกเรียน โทรุสารภาพผิดว่าเขาทำไปเพราะเพื่อนบังคับให้ทำ เพราะจะแอบถ่ายคลิปตอนที่เขามาขอเธอเป็นแฟนและเธอปฏิเสธ เพื่อโพสต์ประจานในโลกโซเชียลให้โทรุได้อาย ซึ่งตอนนี้คนทั้งโรงเรียนก็คิดว่าเขาและเธอเป็นแฟนกันจริงๆ แล้ว โทรุขอโทษถ้าทำให้เธอโกรธ แต่มาโอริกลับบอกว่างั้นเราก็มาเป็นแฟนปลอมๆ กันสิ แต่มีเงื่อนไข 3 ข้อ คือ

1.ห้ามทักทายกันระหว่างวัน ไว้คุยกันได้หลังเลิกเรียน 2.ให้คุยกันสั้นๆ ก็พอ และข้อสุดท้ายนี่แปลกหน่อย คือ 3.ห้ามตกหลุมรักอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ซึ่งในตอนท้ายของหนังจะเฉลยว่าทำไมเธอถึงมีเงื่อนไขประหลาดๆ นี้

โทรุรู้สึกสนุกด้วยจึงตอบตกลง และนั่นเป็นจุดเริ่มของความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ที่ค่อยๆ เรียนรู้กันและกันทีละนิดๆ โดยทุกเรื่องราวของเขา

มาโอริจะจดบันทึกไว้ด้วยเสมอ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด

จะว่าไปมาโอริก็ได้มาเติมเต็มให้กับชีวิตธรรมดาของเขาเช่นกัน โทรุอาศัยอยู่กับพ่อที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนนิยาย วันๆ จึงอยู่หน้าเครื่องคอมพ์ และซดเบียร์ไปด้วย งานการในบ้านจึงตกเป็นหน้าที่ของเขาฝ่ายเดียว ชีวิตเขาจึงมีแต่ที่โรงเรียนและบ้านเช่นกัน

แม่ของโทรุจากไปตั้งแต่เขายังเด็กด้วยอาการของโรคหัวใจวาย จริงๆ เขามีพี่สาวอีกคนที่ต้องทำหน้าที่แทนแม่ทุกอย่าง แต่ต่อมาเธอก็จำต้องออกจากบ้านไปเพราะอยากไปตามความฝันของตนคือการเป็น “นักเขียนนิยาย” นั่นเอง เขาจึงอยู่กับพ่อตามลำพังสองคนกับพ่อ

ความสัมพันธ์ของโทรุและมาโอริดำเนินไปอย่างมีชีวิตชีวา ต่างก็เป็นความสุขของกันและกัน มีกิจกรรมร่วมกันหลายอย่างที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับชีวิต และนั่นทำให้บันทึกในตอนกลางคืนก่อนนอนของมาโอริ เต็มไปด้วยเรื่องราวของความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

จนวันหนึ่ง เขาได้รับรู้ความลับของมาโอริจากปากของเธอเอง ซึ่งเธอกลัวเหลือเกินว่าเขาจะรับไม่ได้และจากเธอไป

“คนที่จำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้อย่างฉัน ไม่มีทางที่จะมีความรักอย่างคนอื่นเขาได้หรอก” เธอบอก แต่เขากลับยืนยันที่จะคบหากับเธอต่อ และยินดีที่จะ “ทำให้ทุกๆ วันของมาโอริมีแต่ความสุข”

และในที่สุดในวันที่ทั้งสองไปเที่ยวงานดอกไม้ไฟกัน ความสัมพันธ์ก็ได้พัฒนาเติบโต มาจนถึงขีดสุด มาโอริบอกกับโทรุว่า “จะเป็นไรไหม ถ้าฉันจะทำผิดกฎข้อที่สาม” โทรุตอบยิ้มๆ ว่า “ผมฝ่าฝืนข้อนี้ไปตั้งนานแล้ว”

และทั้งคู่ก็ประทับรอยจูบให้แก่กันอย่างมีความสุข

 

เรื่องของมาโอริกับโทรุนั้น ได้ผ่านการรับรู้ของวาตายะเพื่อนสนิทของมาโอริ บางครั้งทั้งสามก็ไปเที่ยวด้วยกัน และวาตายะนี่เองที่เป็นผู้จัดการเรื่องราวที่สำคัญในเวลาต่อมา ซึ่งจะไม่ขอเล่ารายละเอียด เผื่อว่าใครที่สนใจชมหนังเรื่องนี้ จะได้ไม่เป็นการสปอยเสียก่อน

บอกได้ว่า วาตายะนั้นเสียใจที่เธอได้เป็น “ผู้ขโมยความทรงจำแสนสำคัญของมาโอริเพื่อนรักไป” และเธอเองอีกนั่นแหละที่เป็นผู้เอามันกลับคืนมาให้กับมาโอริอีกครั้ง

เรื่องความทรงจำในหนังเรื่องนี้ได้บอกเราผ่านสองครอบครัว คือ มาโอริ ที่สูญเสียความทรงจำไป ความทรงจำจึงมีค่าต่อชีวิตเธออย่างมาก เธอต่อชีวิตติดและเดินหน้าต่อไปได้ก็เพราะมีเครื่องมือที่ช่วยยึดโยงความทรงจำนั้นไว้ นั่นคือ “ไดอารี” นั่นเอง

สำหรับอีกครอบครัวหนึ่งคือ ของโทรุ พ่อของเขาต้องทนอยู่กับความทรงจำที่ขมขื่น ทั้งเรื่องที่ภรรยาที่รักต้องมาด่วนจากไป ทั้งเรื่องความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง ที่เป็นความทรงจำตั้งแต่ภรรยายังมีชีวิตอยู่ จนเธอจากไปเขาก็ยังไม่สามารถทำให้มันเป็นจริงได้แม้แต่น้อย มันจึงเป็นเหมือนความทรงจำที่หลอกหลอนเขามาตลอด

ไม่เท่านั้น พี่สาวของโทรุ ที่มีความทรงจำที่ไม่ดีกับพ่อที่ไม่สามารถยืนหยัดเป็นผู้นำครอบครัวได้ เธอฝันอยากเป็นนักเขียนนวนิยาย ซึ่งภาระที่ต้องรับผิดชอบที่บ้านเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของเธอ ในที่สุดเธอก็ทำตามความฝันสำเร็จ ด้วยการมีชื่อเสียงจากงานที่เขียน และได้รับรางวัลอันมีคุณค่า เมื่อนั้นความทรงจำได้ย้อนมาหาเธออีกครั้ง ให้ได้กลับไปหาครอบครัว โดยเฉพาะกับผู้เป็นพ่อ

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำให้เรารู้สึกว่าความทรงจำที่เลวร้ายนั้นมันสามารถบั่นทอนและทำลายชีวิตคนลงได้ง่ายดาย หากคนคนนั้นยึดติดและหลงอยู่กับความทรงจำอันขมขื่นนั้น

บางทีการได้หลงลืมความทรงจำที่ว่านี้ไปเสียได้ก็อาจจะเป็นการดีกว่าเป็นไหนๆ

 

มาโอริได้รับรู้เรื่องราวของโทรุ ชายผู้เป็นที่รักอีกครั้ง ผ่านภาพวาดที่เธอวาดเขาออกมาจากความรู้สึกที่ไม่ใช่มาจากความทรงจำ เธอวาดโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร แต่เมื่อเธอได้รับรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของเขาและเธอ ก็ได้แต่เสียดายว่า “เป็นการรับรู้ แต่ไม่มีความทรงจำใดๆ กับเขาเลย”

ทั้งหมดเป็นความรู้สึกที่ฝังลึกและซุกซ่อนอยู่ข้างในนั่นเอง

เหมือนกับที่มาโอริเคยขี่จักรยานได้ แม้จะสูญเสียความทรงจำไป ก็ยังคงขี่ได้เช่นเดิม

เหมือนที่เธอมีความสามารถในการวาดภาพ แม้จะสูญเสียความทรงจำไป แต่ทักษะด้านนี้ของเธอไม่ได้สูญหายไปด้วย หากแต่ยังคงอยู่และต่อติดจนทำให้เธอวาดภาพชายคนหนึ่งที่อยู่ในความรู้สึกของเธอออกมาได้

 

ผู้รับบทมาโอริ คือนักแสดงสาวที่กำลังมาแรง คือ “ริโกะ ฟูกุโมโตะ” ทั้งใบหน้าที่สวยอ่อนหวานและการแสดงของเธอ เชื่อว่าจะทำให้คนดูรักและเอาใจช่วยเธอแน่นอน

ส่วนบทโทรุ นั้นเป็นของนักแสดงหนุ่มที่เป็นนักร้องมาก่อน ชื่อ “ชุนสุเกะ มิชิเอดะ” เขาใช้สายตาและรอยยิ้มที่บริสุทธิ์เอาคนดูจนอยู่หมัด และเชื่อว่าเขาเป็นผู้ชายที่จิตใจดีไร้ที่ติได้จริงๆ

นักแสดงอีกคนหนึ่งที่รับบทเพื่อนสาวของมาโอริ ที่ชื่อ “วาตายะ” แม้บทจะไม่ได้โดดเด่นมาก แต่เป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง ซึ่งการแสดงของ “โกโทเนะ ฟุรุคาวะ” ที่เล่นน้อยๆ ผ่านสีหน้าและแววตา แต่ก็สามารถแบกน้ำหนักของเรื่องได้อย่างดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป

และสุดท้ายหนังให้คุณค่าของ “การเขียน” สอดแทรกไว้ด้วย “การเขียนบันทึก” ของมาโอริคือเครื่องมือที่ทำให้เธอต่อติดกับความทรงจำ “การเขียนนิยายของพี่สาวโทรุ” ทำให้เธอต่อติดกับความใฝ่ฝันของเธอ ซึ่งกับพ่อของเธอแล้วมันตรงกันข้าม เพราะการไม่ลงมือเขียนของเขาทำให้เขาไม่สามารถเชื่อมโยงและต่อติดกับความทรงจำที่ดีๆ ในอดีตได้เลย

และสุดท้าย “การเขียนรูป” ของมาโอริ ก็เป็นการเชื่อมโยงจาก “ความรู้สึก” ที่แม้จะไม่มี “ความทรงจำ” ก็ตาม แต่มันก็ได้ทำให้เธอมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง เป็นความสุขที่จะอยู่กับเธอตลอดไป

ใครสนใจไปชมหนังชื่อยาวๆ นี้ก็เชิญนะครับ และคุณจะอิ่มเอิบหัวใจแน่นอน •

 

เครื่องเคียงข้างจอ | วัชระ แวววุฒินันท์