ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 ธันวาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
“คิดถึงผู้ อยู่ห้องเช่า ที่ต่ำเตี้ย
ดูละเหี่ย ต้องแช่น้ำ จำอยู่ได้
เพราะไม่รู้ หลีกพ้น ไปหนใด
ต้องจำใจ แช่น้ำ ทุกค่ำคืน”
(พระยาอรรถศาสตร์ฯ, 37)
“จีนจน” ในน้ำท่วมพระนคร
การศึกษาเรื่องน้ำท่วมพระนคร 2485 ถูกบันทึกไว้ในข่าวหนังสือพิมพ์ เอกสารราชการ ประวัติบุคคลร่วมสมัยหลายคน แต่หลักฐานเท่าที่พบมักเป็นบันทึกจากคนเมือง และยังไม่พบบันทึกจากเกษตรกรในเขตชนบท หรือแม้กระทั่งคนจนในพระนคร อาจด้วยข้อจำกัดหลายประการ ทว่า แม้นจะพบภาพชีวิตคนยากจนในภาพยนตร์ของแท้ ประกาศวุฒิสาร และมีบันทึกประปรายถึงความทุกข์ยากของคนชั้นล่างในนิราศอยู่บ้างก็ตาม
ชะตากรรมของชีวิตสามัญชนในเมือง ผู้ต้องเดินทางทำมาหากินเมื่อครั้งน้ำท่วมนั้น เป็นเช่นไรยังสืบค้นข้อมูลได้ยาก แม้นเราอาจพบร่องรอยบ้างว่า ในช่วงน้ำท่วมต้นๆ บางช่วงกระแสน้ำไหลไหลแรงมาก จนเดินทวนน้ำไม่ไหว มีข่าวว่า มีชาวบ้านตกท่อระบายน้ำตายก็มี (ขุนวิจิตรมาตรา, 2523, 474)
ไม่แต่เพียงศึกษาคนจนเมืองจะยากลำบากเท่านั้น แต่การค้นคว้าชาวต่างด้าวผู้ยากไร้ ผู้ใช้แรงงาน เป็นจีนอพยพแล้ว ยิ่งพบหาข้อมูลยากเข้าไปอีก แม้นอาจมีการบอกเล่าในครอบครัว แต่ความทรงจำนั้นอาจเลือนหายไปตามกาลเวลาได้
ดังนั้น บทความนี้พยายามให้ปะติดปะต่อภาพชีวิตจีนจนในพระนครยามน้ำท่วมนั้น
ชุมชนจีนริมทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-ปากน้ำระแวกสามย่านเป็นแหล่งพำนักสำคัญของจีนจนแห่งหนึ่งในครั้งนั้น เราพอมีข้อมูลในย่านนั้นความทรงจำของ “ใหญ่ นภายน” และ “เฮียเม้ง ป.ปลา” ผู้เคยใช้ชีวิตวัยเด็กในละแวกนั้น ที่ให้ภาพสภาพแวดล้อมชุมชนย่านริมคลองหัวลำโพง ริมทางรถไฟในช่วงปลายทศวรรษ 2470-ทศวรรษ 2480
ชุมชนจีนจนริมทางรถไฟสายปากน้ำ
ทางรถไฟสายปากน้ำเป็นของบริษัทรถไฟปากน้ำ ที่มีชาวเดนมาร์กเป็นเจ้าของ เริ่มก่อสร้างเมื่อ 2434 รถไฟสายนี้วิ่งจนถึงปากน้ำ สมุทรปราการ โดยมีสถานีต้นทางที่ตั้งกลางถนนพระราม 4 แต่ยกเลิกไปเมื่อ 2503 ปัจจุบันเหลือเพียงป้ายระบุ สถานีรถไฟปากน้ำเป็นอนุสรณ์เท่านั้น
ด้วยเหตุที่แหล่งจ้างงานแบกหาม ลากรถ ช่างฝีมือ หรือลูกจ้างห้างร้าน อยู่แถบท่าเรือราชวงศ์ ย่านการค้าแถวเยาวราช หรือท่าเรือคลองเตยนั้น ดังนั้น ชาวจีนอพยพและเหล่าจีนจนจึงสะดวกพักอาศัยตามชุมชนบ้านไม้ เรือนแถวที่มีค่าเช่าราคาถูกอันตั้งเรียงรายตลอดริมทางรถไฟสายปากน้ำตามความยาวของถนนพระราม 4 ต่อเนื่องกันตั้งแต่ย่านหัวลำโพง สะพานเหลือง สวนหลวง วังใหม่ สามย่าน
หากพิจารณาภาพถ่ายถ่ายทางอากาศภายหลังสงครามครั้งที่ 2 (2489) ของฮันท์ (Peter Williams-Hunt) ชาวอังกฤษ ช่างภาพฝ่ายสัมพันธมิตรที่บินถ่ายภาพพระนครจากทางอากาศเพื่อเรียกค่าเสียหายจากปฏิกรรมสงครามนั้น จะเห็นเรือนแถวไม้ตรงหัวมุมสามย่านต่อถนนพญาไท และชุมชนเรือนไม้ที่ปลูกติดต่อกันอย่างแออัดในละแวกนั้น
จากความทรงจำของ “ใหญ่ นภายน” หรือ จ.ส.อ.สมาน นภายน (2468-2553) นักดนตรีและแต่งเพลง บรรยายถึงสภาพถนนและชุมชนริมทางรถไฟสายปากน้ำช่วงปลายทศวรรษ 2470 ไว้ ด้วยใหญ่พักอยู่แถววัดแก้วแจ่มฟ้า บนถนนสี่พระยา เขาจึงมักไปวิ่งเล่น ทำทโมนไปตามละแวกถนนสี่พระยาและพระรามสี่ซึ่งเป็นถนนที่อยู่ใกล้กันเสมอ
เขาเล่าว่า ย่านสะพานเหลืองเป็นแหล่งชุมชนคนจีนและมีโรงงานขนาดเล็กหลายแห่ง มีโรงงานเป่าแก้ว 2 โรง อู่ต่อเรือเอี้ยมจุ๊น และมีโรงภาพยนตร์ชื่อตงก๊ก มีคนมาอุดหนุนกันมาก ที่ฉายเป็นภาพยนตร์จีน ก่อนฉายจะนำฉายรูปซุนยัตเซน เมื่อฉายจบแล้วจะฉายภาพในหลวงไทย (ใหญ่ นภายน, 2547, 89-91)
สภาพชุมชนจากภาพและความทรงจำสะท้อนให้เห็นว่า ชุมชนละแวกนั้นเป็นชุมชนคนจีนที่มีชีวิตไม่สุขสบาย พวกเขาเป็นกรรมกรแบกหาม เป็นช่างฝีมือตามโรงงานขนาดเล็กที่ไม่ห่างไกลไปจากที่พักนัก เช่น ย่านหัวลำโพง เยาวราช ราชวงศ์ ตลาดน้อย และท่าเรือคลองเตย เป็นต้น
ชุมชนจีนสามย่านยามสงคราม
ครั้นเมื่อกองทัพญี่ปุ่นคลื่อนทัพเข้าสู่ไทยเมื่อปลายปี 2484 ทหารญี่ปุ่นเข้ายึดสถานที่ราชการหลายแห่งเพื่อตั้งกองทหาร ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนช่างกลปทุมวัน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และสวนลุมพินี ทั้งนี้ เพื่อให้ใกล้กับศูนย์บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยที่ถนนสาทร (ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์, 2563)
ในระหว่างอุทกภัยครั้งใหญ่ โชคดีที่ไม่มีเครื่องบินสัมพันธมิตรเข้ามาทิ้งระเบิดพระนคร เพราะหากมีการโจมตีทางอากาศแล้วประชาชนจะลำบากมาก เนื่องจาก ประชาชนไม่รู้จะไปหลบภัยในหลุมหลบภัยที่ใดได้ เนื่องจากน้ำท่วมหลุมหลบภัยไปหมดแล้ว (รอง ศยามานนท์, 179)
ระดับน้ำท่วมละแวกสามย่านเป็นอย่างไรนั้น มีผู้บันทึกว่า “ในปี พ.ศ.2485 นั้นตรงถนนราชดำเนินตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็ไปพายเรือเล่นได้สบาย ยิ่งแถวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยแล้วมองดูเจิ่งเป็นทะเลสาบไปเลยทีเดียว” (ส.พลายน้อย, 2520, 377)
สภาพพระนครยามน้ำท่วมพบเห็นขยะต่างๆ ลอยกระจายเกลื่อนไปบนท้องน้ำ ดังมีผู้บันทึกว่า “ขี้ขยะ แลสวะ ไหลมาเรื่อย พอน้ำเอื่อย เฮเข้าไป ในบ้านฉัน ต้องช้อนกวาด สาดออกไป ทุกวี่วัน อีกปลิงนั้น มีมา ดูน่ากลัว” (พระยาอรรถศาสตร์ฯ, 36)
ไม่แต่เพียงขยะเท่านั้นที่เกลื่อนเมือง แต่การขับถ่ายของคนเมืองก็ต้องเผชิญกับปัญหาเช่นกัน แม้นเทศบาลสร้างส้วมลอยน้ำให้บริการตามแหล่งชุมชนแล้วก็ตาม แต่หากชุมชนนั้นอยู่ห่างไกลส้วมชั่วคราวของเทศบาลแล้วไซร้ จะพบเห็นโดยทั่วไปว่า ตามที่กระแสน้ำไม่ไหลผ่านจะมีขยะและมูลคนลอยเกลื่อนไป (เหม เวชกร, 161-162)
ดังนั้น ชีวิตคนยากจนที่พักอาศัยในห้องแถวชั้นเดียวครั้งน้ำท่วมสูงนั้น เป็นช่วงเวลาที่หาพื้นที่แห้งยาก เพราะหากผู้ใดไม่มีเงินซื้อไม้กระดานสร้างพื้นเรือนอีกขั้นขึ้นแล้ว คนยากจนคงต้องแช่น้ำทั้งวัน เสี่ยงต่อการเจ็บป่วย
ภายหลังจากน้ำท่วมจวบปลายสงครามในยามพระนครถูกโจมตีนั้น ชาวพระนครที่มีฐานะร่ำรวยหรือปานกลางมีกำลังทรัพย์ในการอพยพไปอยู่นอกเมืองเพื่อหลบระเบิดให้ชีวิตปลอดภัยได้ โดยหนังสือพิมพ์ครั้งนั้นรายงานว่า
การอพยพไปนอกเมืองมีต้นทุนสูง แต่พื้นที่เหล่านั้นขาดแคลนน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า ไข้ชุกชุม โจรผู้ร้ายมาก และที่สำคัญค่าเช่าบ้านมีราคาแพง (ศรีกรุง, 24 กุมภาพันธ์ 2487) ดังนั้น คนยากจนในพระนครจึงไม่สามารถอพยพไปหาที่ปลอดภัยอยู่ได้ ด้วยพวกเขาขาดเงินและอยู่ไม่ได้โดยไม่มีงานทำได้
ดังนั้น คนจนผู้ยากไร้ทั้งหมดจึงต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีทางอากาศในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังมีผู้บันทึกว่า “คนมีทรัพย์ ความยาก ลำบากน้อย เพราะมีทรัพย์ ใช้สอย ไม่ค่อยหวง แต่คนจน อัดใจ เพราะไส้กลวง” (พระยาอรรถศาตร์ฯ, 38)
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022