ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 ธันวาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | เหยี่ยวถลาลม |
เผยแพร่ |
แค่คำว่า “พรรคทหาร” ก็ต้องนับว่าวิปริตพิสดารในทางการเมือง
ทหารในฐานะปัจเจกบุคคลสามารถที่จะฝักใฝ่สนใจศึกษาค้นคว้าและมีอุดมการณ์ทางการเมืองได้ตามที่รักตามที่ชอบ
แต่ทหารไม่อาจเล่นการเมือง และทหารก็ไม่อาจมีพรรคการเมืองเป็นของตัวเอง
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัส เนื่องในวันกองทัพบก 25 มกราคม 2499 ตอนหนึ่งว่า “…ทหารต้องเป็นของประเทศชาติ ทหารจึงต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจ ไม่ควรไปทำหรือเกี่ยวข้องในกิจการที่ไม่อยู่ในหน้าที่โดยเฉพาะของตน เช่น ไปเที่ยวเล่นการเมือง ดังนี้เป็นต้น…”
ทหารเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กินเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงจากรัฐ เป็นลูกจ้างในบังคับบัญชาของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลทุกรัฐบาล
พรรคทหารจึงไม่อาจมี
แต่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ภายหลังรัฐประหารผ่านไปสักพักก็มักจะมี “พรรคทหาร” ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นช่องทางให้คณะนายทหารที่ก่อรัฐประหารใช้เป็นข้ออ้างในการสืบทอดอำนาจว่าผ่านการเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์ ไม่ได้ปล้นชิงใครมา
จอมพล ป.พิบูลสงคราม อดีตนักเรียนนอกซึ่งได้ประสบพบพานอารยธรรมประเทศที่เจริญก้าวหน้าในยุโรป ครั้นเมื่อเล็งเห็นว่าเส้นทางอำนาจจากรัฐประหารเริ่มเสื่อมถอย “ป.พิบูลสงคราม” ก็สร้าง “พรรคการเมือง” ของตัวเองขึ้นมาใช้ชื่อว่า “เสรีมนังคศิลา” ตั้งตัวเป็นหัวหน้าพรรค แล้วขนเอาพรรคพวกลูกน้องข้าราชการที่เป็นมือขวามือซ้าย ขาซ้ายขาขวาเข้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง
พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นเลขาธิการพรรค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นรองหัวหน้าพรรค ถนอม ประพาส ร้อยเรียงกันมาเป็นพวง ท่วงท่าไม่มีเงื่อนงำสลับซับซ้อนอะไร ก็แค่ผัดหน้าทาแป้งแต่งตัวแปลงโฉมใหม่ จากการใช้ปืนจี้บังคับมาเป็นฉ้อฉลด้วยกลเกมเลือกตั้งเพื่อที่จะได้มีอำนาจสืบไป
สมัยนั้นไม่ต้องใช้คำสัญญา ไม่มีคำว่า อีกไม่นาน ว่ากันดื้อๆ ด้านๆ!
แต่ลูกน้องอย่าง “สฤษดิ์” หัวไวจับกระแสที่คุกรุ่นตั้งแต่ฟ้าจรดดินได้ จึงลงมือหักหลังนาย
เลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2500 ล่วงผ่านไปได้แค่ครึ่งปี “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” ก็รัฐประหาร ทำให้ “ป.พิบูลสงคราม” ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเข้ากัมพูชาแล้วลี้ภัยไปอยู่ประเทศญี่ปุ่นอย่างถาวร
พรรคทหาร “เสรีมนังคศิลา” ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งและเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลจึงเคว้งคว้าง ที่สุดก็ถูกดูดไปรวมกับ “พรรคชาติสังคม” ของจอมพลสฤษดิ์ นายใหม่ของการเมืองไทย
ถึงยุคที่จอมพลถนอม กิตติขจร รุ่งเรืองสุดขีดก็ตั้งพรรคการเมือง ใช้ชื่อว่า “สหประชาไทย” แต่นายทหารผู้ทรงอำนาจมักจะไม่คุ้นชินกับท่วงทำนองแมลงหวี่ของนักการเมือง “ถนอม” เลือกที่จะคิดและทำตามใจที่ชอบมากกว่า จึงลงมือทำรัฐประหารรัฐบาลตัวเอง แล้วครองอำนาจล่วงมา
จนกระทั่งถึงวันรูดม่าน 3 ทรราช “ถนอม-ประภาส-ณรงค์” ใน 14 ตุลาคม 2516
ทหารที่ก่อรัฐประหารในยุคหลังๆ พยายามหลอกประชาชนให้แยบยลแนบเนียนยิ่งขึ้น
รัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2534 “รสช.” จึงสลับฉากด้วยการเชิญ “อานันท์ ปันยารชุน” มาเป็นนายกรัฐมนตรี
“สุนทร-สุจินดา” สงวนท่าที – ไม่เอาๆ ไม่เป็นๆ ขณะที่ “หลังฉาก” สมคบคิดให้นักการเมืองกลุ่มหนึ่งแก้เกมทางสภาและจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเตรียม “อุ้ม” นายทหารที่เป็นผู้นำรัฐประหารขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี”
พอ “สุจินดา” เปล่งคำว่า “ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ” พร้อมกับหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง นักการเมืองอีกฝั่งก็สุมฟืนจุดไฟจนกลายเป็น “พฤษภาทมิฬ 2535”
พรรค “นอมินี” ทหารก็พบกับจุดจบ!
ทหารกลับสู่กรมกอง
แต่ไม่ได้หมายความว่า มีสำนึก มีวินัย มีบทเรียนว่าทหารไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
หากเป็นท่วงทำนอง ซุ่มซ่อนยาวนาน รอคอยจังหวะโอกาส
พรรคทหารไม่เคยตาย แต่ก็ไม่เคยทำอะไรให้ประเทศพัฒนาเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน
เดือนกันยายน 2549 ทหารทำรัฐประหารอีก
คราวนี้ไม่รู้ว่าเป็นลูกไม้ “เขินอาย” ของหัวหน้าคณะรัฐประหาร หรือเป็นเพราะ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน “บารมีไม่ถึง” จึงไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ต่างกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาถูกที่ถูกเวลา
“คสช.” ยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 เสร็จ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี” เสียเอง แต่เกรงจะซ้ำรอย “เสียสัตย์เพื่อชาติ” จึงเล่นมุขใหม่ ปล่อยเพลง “…ขอเวลาอีกไม่นาน”
เขียนกติกากับไล่ล่าจับกุมคุมขังคนเห็นต่างอยู่ 5 ปี ได้สิ่งที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ซึ่งหัวหน้า คสช.เป็นคนแต่งตั้ง ส.ว. 250 คนใส่เอาไว้ในสภา ให้นั่งรอยกมือ “โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี” หลังเลือกตั้ง ในขณะที่ “รัฐมนตรี 4 กุมาร” ของรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารก็ตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อ “พลังประชารัฐ”
มีภารกิจชัดๆ ว่าเป็น “นั่งร้าน” ให้ “หัวหน้า คสช.” เป็นนายกรัฐมนตรี
เลือกตั้ง 2562 เสร็จสิ้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน

“ประยุทธ์” หัวหน้า คสช.ผู้นำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 พ้นจาก “นายกรัฐมนตรีคนเก่า” ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรีคนใหม่” ได้ด้วย “มือ” ของนักการเมืองจากพรรคจัดตั้งของทหารที่รวมกับ “มือ” ของ “250 ส.ว.”
4 กุมารนั่งร้านทหารถูกรื้อทิ้ง!
“พลังประชารัฐ” เบ็ดเสร็จอยู่กับ “ป้อม”
ในเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 “พรรคทหาร” เตรียมแตกแบงก์พัน
แต่ไม่ว่า “ประยุทธ์” จะไปรวมไทยรวมแขกหรือรวมใครพวกไหนจัดตั้งพรรคการเมือง ประวัติศาสตร์ก็ชี้ชัดว่า ไม่เคยมี “พรรคทหาร” ที่สร้างชาติ
มีแต่คำคุยโม้โฆษณาหาประโยชน์ทางการเมือง ไม่มีเจตจำนงที่มุ่งมั่นพัฒนาการศึกษาให้ประชาชน ไม่มีแนวคิดพลิกโฉมชีวิตความเป็นอยู่ ไม่มีแนวทางสร้างอาชีพที่มั่นคง ปลอดหนี้ มีรายได้มั่งคั่ง ไม่มีนโยบายอากาศ สิ่งแวดล้อม ไม่มีเมืองในฝัน เมืองศิลปะ เมืองวัฒนธรรม เมืองแห่งป่า ขุนเขา แม่น้ำ ไม่มีแผนสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้แก่ลูกหลาน
ไม่มีอุดมการณ์และความเสียสละ
เกือบ 70 ปีแล้วที่พรรคทหารพูดและทำเหมือนกัน
ทุกอย่างรวมศูนย์และเป็นไปเพื่อ “ความมั่นคง” ของพวกพ้องน้องพี่ที่เป็น “เสาค้ำ”!?!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022