การปฏิวัติ อีกครั้งของ ‘บิ๊กตู่’ แยกทาง สร้างพรรคใหม่ จาก ‘ตึกไทยคู่ฟ้า สู่ ซ.อารีย์’

การปฏิวัติ อีกครั้งของ ‘บิ๊กตู่’ แยกทาง สร้างพรรคใหม่ จากตึกไทยคู่ฟ้า สู่ ซ.อารีย์ ปฏิบัติการในค่ายทหาร จากป่ารอยต่อฯ สู่บ้าน ร.1 รอ.

 

แม้ว่าบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ จะพยายามยิ้มโชว์สื่อ และยืนยันว่า ไม่ได้เซ็ง ไม่ได้เครียด ไม่ได้น้อยใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี น้องรัก แยกทางไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะเป็นพรรคเดียวกัน เป็นพรรคพี่พรรคน้องกันก็ตาม

แต่ทว่า ความในใจ ในหัวอกของพี่ใหญ่ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แต่ก็พยายามยิ้มเพื่อกดเก็บความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้

แม้ก่อนหน้านี้ จะเคยให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แยกไปตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย และให้บิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา แยกไปตั้งพรรครวมแผ่นดิน แล้วก็ตาม แต่การแยกทางไปพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้นั้นแตกต่าง

ด้วยความที่ภาพลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคของพี่น้อง 3 ป. ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์ ที่ตกลงกันให้ พล.อ.ประวิตรคุมการเมือง คุมพรรค บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คุมมหาดไทย คุมท้องถิ่น ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ก็บริหารประเทศไป

เมื่อครั้งที่แรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์ ผช.รมต.ประจำนายกฯ ตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ถูกมองว่า ตั้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จน พล.อ.ประวิตรเคยออกมายืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ไปไหน จะอยู่กับผม

แม้จะรู้ว่า มีความเคลื่อนไหวในการสร้างพรรค และย้ายพรรคมาตลอด จน พล.อ.ประวิตรเกิดอาการงอน จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องมากอดพี่ป้อม พร้อมสยบกระแสว่า “ไม่ไปไหนหรอก มีเรื่องให้ง้อได้ทุกวัน”

แต่ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ก็จะแยกทาง แยกพรรค ไปพรรครวมไทยสร้างชาติ หลังจากมีสัญญาณวงในว่า นายกฯ มาแน่ มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ หลังจากที่มีแกนนำให้เหตุผลต่างๆ ชักจูงใจให้ตัดสินใจแยกพรรค

พล.อ.ประยุทธ์เดินเกมอย่างรวดเร็ว โดยเรียกแกนนำพรรค ทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค และนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และนายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ อดีตโฆษกรัฐบาล และ ส.ส.พปชร. ที่จะย้ายไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ กับ พล.อ.ประยุทธ์ รายงานตัว

แต่ที่ถูกพูดถึงคือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้บ้านพักใน ร.1 ทม.รอ. เป็นสถานที่พบปะแกนนำพรรค ทั้งๆ ที่ปกติแล้ว บ้านพักจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่เปิดรับแขก โดยเฉพาะนักการเมือง ที่สะท้อนถึงการลงมาเล่นการเมืองด้วยตนเอง เพราะมีบทเรียนจากที่เคย “ขาลอย” จากที่ให้ พล.อ.ประวิตรคุมการเมืองมาตลอด จน พล.อ.ประยุทธ์คุม ส.ส.ไม่ได้ เวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ต้องมาเช็กเสียงเอง จัดการทุกอย่างเอง เพราะมีบทเรียนจากที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เคยจะล้ม พล.อ.ประยุทธ์มาถึง 2 ครั้ง

แต่ก็เสมือนเป็นการเหยียบจมูก พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ ที่บ้านพัก หรือมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ก็อยู่ห่างกันไปไม่กี่ก้าว แถมยังเป็นการตกปลาในบ่อพี่ ดูด ส.ส.พปชร.มาอยู่ด้วย

การเดินเกมเตรียมแยกพรรค และดูด ส.ส.พปชร.ไปอยู่ด้วย ของ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นเสมือนการปฏิวัติอีกครั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เป็นการปฏิวัติพี่ใหญ่ จากที่เคยเป็นน้องเล็ก อยู่ใต้ร่มเงา บารมีอำนาจของพี่ใหญ่มาตลอด ตั้งแต่เป็นนายทหารเด็กๆ จนมาเป็นนายกฯ 8 ปี จนไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำอะไรได้ไม่เต็มที่ แถมโดนแทงหน้าแทงหลังจากคนรอบกายพี่ใหญ่เสมอๆ

แต่การตั้งพรรคเอง มีพรรคของตัวเอง มีขุมกำลังทางการเมืองของตัวเองเช่นนี้ โดยไม่ต้องพึ่งพาพี่ใหญ่อีกต่อไปแล้ว เพราะ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในอำนาจมายาวนาน และมีกองหนุนพิเศษไปสร้างอาณาจักรของตัวเอง และจะกลายเป็น “นาย” เป็น “พี่ใหญ่” ของขั้วอำนาจใหม่สายทหารเสือฯ

แม้การแยกพรรคจะไม่ได้ทำให้พี่น้อง 3 ป. แตกแยก แตกหัก และอาจเป็นการ “แยกกันเดิน รวมกันตี” ก็ตาม แต่ก็ทำให้ความสัมพันธ์จะยิ่งห่างเหินกันยิ่งขึ้น และจะกลายเป็นการวัดพลัง และวัดบารมีระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร เลยทีเดียวว่า ใครจะอยู่ พปชร.กับบิ๊กป้อม หรือจะไปกับบิ๊กตู่

รวมไปถึงว่า เมื่อเลือกตั้ง พรรคไหนจะได้รับการเลือกตั้ง ได้ ส.ส.มากกว่า เพราะมีการประเมินสถานการณ์กันในขั้วจันทร์โอชา ที่จะย้ายไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า พปชร.จะแย่เมื่อไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ และอาจถึงขั้นเป็นพรรคต่ำกว่า 20 หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปในที่สุด

ขณะที่ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประวิตร และจะยังคงอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ตอบประเมินว่า พรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะได้ ส.ส.ไม่ถึง 25 คน และจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์จบอนาคตทางการเมือง หรือหากได้เกิน 25 คน แต่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร เพราะเป็นมารยาททางการเมืองที่พรรคอันดับสองจะได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและได้เป็นนายกรัฐมนตรี

จึงทำให้ยังมีแกนนำพรรคหลายคนยังคงอยู่กับ พล.อ.ประวิตร เช่น นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และเลขาธิการพรรค และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค และ รมว.ดีอีเอส และอาจเป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ชักชวน ด้วยหลายเหตุผล รวมทั้งกลุ่มปากน้ำ ที่ตัวแทนกลุ่มได้เป็น รมช.เกษตรฯ

การเปิดบ้านพัก พบปะหารือกับแกนนำการเมือง จึงส่อเค้าให้เห็นถึงการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ จากที่เคยใช้มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของ พล.อ.ประวิตร เป็นสถานที่เจรจาทางการเมือง จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในค่ายทหารมาแล้วครั้งหนึ่ง จนตั้งรัฐบาล “ประยุทธ์ 2”

แม้ว่ามูลนิธิป่ารอยต่อฯ จะแยกออกไปจาก ร.1 รอ.แล้ว เพราะแยกทำสัญญาเช่ากับราชพัสดุ ไม่ใช่พื้นที่ของ ร.1 ทม.รอ.แล้วก็ตาม แต่บ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงอยู่ในค่ายทหาร และเคยถูกร้องเรียนเรื่องการอยู่บ้านหลวง เรื่องค่าน้ำ ค่าไฟมาแล้ว

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์เองก็พยายามที่จะเลี่ยงใช้บ้านพักส่วนตัวรับแขก โดยใช้เซฟเฮาส์หลังอื่นในค่ายเดียวกัน แต่ในที่สุด ก็ต้องเปิดบ้านพักเป็นโต๊ะเจรจาการเมือง แม้จะแยกสัดส่วนกับบ้านพักก็ตาม

ในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องลุยสนามการเมืองด้วยตนเอง ด้วยพรรคของตัวเอง จึงต้องใช้บ้านพักส่วนตัวเป็นเซฟเฮาส์ เป็นเซฟโซน แต่ก็ไม่อาจเก็บเป็นความลับได้ เพราะนักการเมืองมักเก็บความลับไม่อยู่

(Photo by Jack TAYLOR / AFP)

แม้หลังเลือกตั้งปีหน้า พล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่ได้เป็นพรรคอันดับ 2 และอาจได้ ส.ส. 25-50 คนก็ตาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ได้เจรจากับแกนนำพรรคภูมิใจไทยแล้ว ในเรื่องการร่วมรัฐบาล และจะยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ เพราะพรรคภูมิใจไทยเองก็รู้ว่า สู้พรรค ส.ว.ที่มีถึง 250 คน ที่สามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้

จากนี้ไป พี่ป้อมและน้องตู่ คงจะยิ่งต้องเช็กข่าวเช็กความเคลื่อนไหวของกันและกัน พอหลังจากที่เข้าบ้าน พล.อ.ประยุทธ์แล้ว พล.อ.ประวิตรก็โทร.เช็กข่าวสอบถาม ส.ส.เหล่านั้นทันที

ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังคัดตัว ส.ส. และผู้สมัคร ส.ส. และทีมงานที่จะมาช่วยงานการเมือง โดยจะใช้ทีมตึกไทยคู่ฟ้า ช่วยประสานงานพรรค และร่วมวางแผนการสู้ศึกเลือกตั้ง รวมทั้งการดันแด๊ก-ธนกร วังบุญคงชนะ อดีตโฆษกรัฐบาล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ ให้เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในการปรับ ครม. ตามที่ได้ให้สัญญาไว้ เพื่อมาคุมสื่อรัฐในการสู้เลือกตั้ง

ไม่แค่นั้น ยังเป็นที่ร่ำลือกันว่า การที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มีที่ตั้งที่ ซ.อารีย์ เพราะไม่ไกลจากบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งบ้านส่วนตัวย่านประดิพัทธ์ และไม่ไกลจาก ร.1 ทม.รอ.ด้วย และออกแบบตกแต่ง พรรคเป็นสีน้ำเงิน และเต็มไปด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ ก็เป็นการรองรับ พล.อ.ประยุทธ์ที่มีจุดยืนในการปกป้องสถาบันด้วย

สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์แล้วมีความเชื่อมั่น เชื่อมือ และชื่นชมในตัวนายพีระพันธุ์อย่างมาก นอกจากเป็นลูกทหาร ชาติตระกูล โปรไฟล์เลิศแล้ว ยังเป็นอดีตผู้พิพากษา และอดีต รมว.ยุติธรรม และเป็นคนที่บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองราชเลขาธิการ และอดีต ผบ.ทบ. น้องรักเป็นคนชักนำให้มาทำงานการเมืองร่วมกัน

ขณะที่ พล.อ.ประวิตรก็ต้องปรับแผน ปรับเกมรับมือ เพื่อลบคำปรามาส หาก พปชร.ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์แล้วจะกลายเป็นพรรคเฉพาะกิจ ที่จะสูญสลายไปในที่สุด จึงได้ประกาศว่า พรรคพลังประชารัฐจะยังคงต้องอยู่เป็นพรรคหลักของประเทศชาติต่อไป

ที่สำคัญคือ มีดีกรีและศักดิ์ศรีของความเป็นพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ที่ต้องรักษาเอาไว้ให้เปี่ยมอำนาจและบารมีต่อไป แม้จะไม่มี พล.อ.ประยุทธ์อยู่ใต้ร่มเงาอีกต่อไปแล้วก็ตาม

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประวิตรจะพยายามยิ้มและแสดงออกให้เห็นว่าไม่ได้เครียด ไม่ได้น้อยใจกับการที่ พล.อ.ประยุทธ์ย้ายพรรค แต่พยายามยิ้มราวกับต้องการจะให้รู้ว่า ไม่สน ไม่แคร์ อยากไปก็ไป อยากดูดก็ดูด ดูดกันไป ดูดกันมา

“ไม่ใช่แยกกันเดิน รวมกันตี แต่เป็น ต่างคนต่างอยู่” พล.อ.ประวิตรระบุ

กลยุทธ์ของพี่น้อง 3 ป. จึงยังคงเป็นที่จับตามองว่า นักการเมืองที่เป็นทหารเก่า ระดับแม่ทัพนายกอง ผบ.ทบ. ที่เป็นหัวกะทิ จะเผด็จศึกอำนาจรัฐ จัดการนักการเมืองได้อย่างไร หรือไม่ จะสำเร็จได้ครองอำนาจต่อ หรือว่า จะนับถอยหลังสู่กาลอวสาน