ว่าด้วยรากเหง้า ปชป.-กปปส.-พปชร.-รทสช. | เหยี่ยวถลาลม

“รากเหง้า” แปลตรงๆ ว่า เค้าเดิม หรือต้นเหตุ แต่คำว่า “ราก” มีมิติที่ลึกกว่าสาเหตุหรือความเป็นมา เนื่องจากความเป็น “ราก” จะต้องมีลักษณะที่หยั่งลึกลงไป

การรวมตัวของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งจัดขบวนเป็น “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เมื่อปี 2556 ย่อมมีความเป็น “ราก” ไม่ใช่การเคลื่อนไหวฉาบฉวย

ชื่อคณะที่ยาวมาก ยากแก่การจดจำนี้เรียกย่อว่า “กปปส.” มีเป้าหมายทางการเมืองคือ ล้มรัฐบาลจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ชนะเลือกตั้งชนิดผูกขาดมาทุกสมัย

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จำเป็นจะต้องเขียนบทและเล่าเรื่องเสียใหม่

เฉกเช่นเดียวกับละครน้ำเน่าที่มีพระเอก มีผู้ร้าย มีตัวประกอบ ฝ่ายธรรมะต้องจะชนะอธรรม ผู้ร้ายทำอะไรก็น่ารังเกียจไปหมด ส่วนฝ่ายผู้ดี ต้องหน้าตาสวย รวย ทุกท่วงท่ามีสง่ามีราศี อิริยาบถน่าปลื้ม น่าชื่นชม

(Photo by PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP)

ในสถานการณ์ที่ “กปปส.” ซึ่งแกนนำมาจาก “ปชป.” เคลื่อนไหวนั้น แม้ “สุรศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” จะมีตำแหน่ง “ประธานรัฐสภา” ประมุขแห่งสถาบันนิติบัญญัติ แต่ก็ยังถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญว่า “กระทำการล้มล้างการปกครอง”

ด้วยสาเหตุเพียงแค่ ขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เกี่ยวกับ “ที่มาของวุฒิสมาชิก”

ต่อมาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากลงมติว่า เป็นการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 68 จริงๆ

สอดรับกับการรุกของ “กปปส.” ที่ภายหลังแม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถอยสุดซอย ยอมยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แล้ว แต่ระดับแกนนำของ กปปส.และ ปชป.หลายคนก็เคลื่อนไหวรณรงค์ให้ประชาชนงดไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

พอถึงวันเลือกตั้ง “ตัวละคร” หลากหลายที่จัดตั้งเอาไว้ก็กระจายกันออกไปขัดขวางและถึงขั้นทำร้ายผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

จะว่าไปแล้ว ก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 นั้น “ประชาธิปัตย์” คือความหวังของสายอนุรักษนิยม แต่เข็นไม่ไป “3 ป.” ผู้ชักใยจึงเชื่อมกับแกนนำใน “ปชป.” บางคนร่วมกันปูทางสู่ทางตัน!

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อปฏิรูปประเทศเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอะไรเกิดขึ้นตามที่ “กปปส.” อวดอ้าง!

จะมีก็แต่สถานการณ์สุกงอมเปล่งปลั่ง พร้อมให้พระเอกตัวจริงเผยโฉม!

แล้วเสียงเพลงก็กระหึ่ม

“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะกลับคืนมา…”

(Photo by PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP)

ฉากการเมืองใหม่ เริ่มขึ้นเมื่อ รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557

ไม่มีใครร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำของคณะผู้ก่อรัฐประหาร ไม่มีการกล่าวหาไม่มีการดำเนินคดีใดๆ กับคณะผู้ล้มล้างการปกครอง

อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการถูกรวบไปอยู่ในมือ “รัฏฐาธิปัตย์” ที่เกิดจากการใช้กำลังพลรบกับกระบอกปืนของกองทัพ

ระบอบ 3 ป.ไม่แยแสกับคำว่า “เผด็จการรัฐสภา” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นวาทกรรมทำลายพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอีก

รัฐธรรมนูญใหม่ให้กำเนิด “250 ส.ว.” ที่มาจากการเลือกเฟ้นคัดสรรและแต่งตั้งของหัวหน้าคณะรัฐประหาร

เปรียบประหนึ่งว่าผู้นำรัฐประหารมี 250 เสียงพร้อมเพรียงยกมือสนับสนุนอยู่ในรัฐสภา-ถ้า “หัวหน้า คสช.” อยากจะเป็น “นายกรัฐมนตรี” ต่อไป

ก่อนเลือกตั้ง 2562 “คสช.” เล่นบทผ่องถ่ายอำนาจอย่างสันติ ปล่อยให้ “รัฐมนตรี” ในรัฐบาล คสช.ออกมาจัดตั้งพรรคการเมืองพร้อมกับดูดนักการเมืองระดับแม่เหล็กมาเข้าสังกัด

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แจ้งเกิดในการเลือกตั้ง 2562 ในขณะที่ “ปชป.” เจ้าเก่าถูก “พปชร.” ตีแตกเป็นเสี่ยง สูญเสียที่มั่นสำคัญในภาคใต้

ต่อมาเมื่อการเลือก “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” คนใหม่ และ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐภาค” กับ “กรณ์ จาติกวณิช” พ่ายแพ้แก่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ก็ถึงเวลาแม่น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอ

สุเทพ เทือกสุบรรณ กับเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ลูกบุญธรรม สาย “กปปส.” แยกตัวมาก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น พรรครวมพลัง) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตแกนนำ ปชป.และ กปปส.ก็แยกไปจัดตั้ง “พรรคไทยภักดี” ประกาศชัดจุดยืนขวาจัด “กรณ์ จาติกวณิช” ตั้งพรรคกล้า แล้วต่อมาไปรวมกับพรรคชาติพัฒนา ใช้ชื่อใหม่ว่า “พรรคชาติพัฒนากล้า”

หลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ทุกอย่างเป็นไปตาม “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”

นั่นคือ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคเล็กพรรคน้อยรวม 20 พรรค จัดตั้ง “รัฐบาลประยุทธ์-รอบ 2” โดยอาศัยมือโหวตจาก “250 ส.ว.” ที่อดีต “หัวหน้า คสช.” ที่ชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แต่งตั้งเอาไว้

“พลังประชารัฐ” ที่เกิดใหม่กลายเป็นพรรคขนาดใหญ่ มี 115 เสียง ส่วน “ประชาธิปัตย์” หดเล็กเป็นพรรคขนาดกลาง มี 52 เสียง แต่นั้นมาในทางการเมืองของ “ปชป.” ก็ประสบแต่ความสูญเสีย คนเก่าตีจาก เลือดใหม่หันหลังให้

จนถึงวันนี้ ไม่เพียงพลังประชารัฐหรือ “พปชร.” ที่เคยลูบคมขย่ม “ปชป.” แม้แต่พรรคเกิดใหม่ที่ชื่อเป็นที่ชื่นชมชอบของ “ป-ประยุทธ์” -พรรครวมไทยสร้างชาติ หรือ “รทสช.” ที่มีพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ผู้เคยท้าชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ประกาศอย่างไม่อ้อมค้อมอ้อมแอ้มว่า “หมดเวลาสำหรับเสาไฟฟ้าประชาธิปัตย์”

“รทสช.” จะยึดพื้นทุกพื้นที่ในภาคใต้!

“รทสช.” มีแบ๊ก “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีประยุทธ์ เป็น “หัวหน้าพรรค” และ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” บุตรบุญธรรมของสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการพรรค

เตรียมปูทางให้ “รัฐบาลประยุทธ์-รอบ 3”

นึกถึงบรรยากาศเมื่อต้นพุทธศักราช 2500 ขึ้นมาทีเดียว

เดิมที จอมพล ป.พิบูลสงคราม “ลูกพี่” กับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ “ลูกน้อง” ก็รักและค้ำจุนกันดี

“จอมพล ป.” เป็นหัวหน้าพรรคเสรีมนังคศิลา “จอมพลสฤษดิ์” ก็เป็นรองหัวหน้าพรรค

เลือกตั้งต้นปี 2500 พรรคเสรีมนังคศิลา ของ “จอมพล ป.พิบูลสงคราม” ชนะขาด ได้ ส.ส.เข้าสภากว่าครึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นาน น้องชายต่างบิดาของ “จอมพลสฤษดิ์” นำ ส.ส.จำนวนหนึ่งลาออกจากพรรคเสรีมนังคศิลา ไปจัดตั้งพรรคใหม่ชื่อ “สหภูมิ” แล้วประกาศสนับสนุน “สฤษดิ์”

ในประเทศไทยนั้นชอบเขียนบทละครการเมือง ให้พรรคการเมืองกับนักการเมืองเป็น “ผู้ร้าย”

ส่วนที่มีพวกมากและใช้กำลังใช้อาวุธเข้ายึดเข้าแย่งอำนาจ ได้รับบทเป็น “ผู้ดี”

“เสรีมนังคศิลา” ถูกเขย่าให้สั่นคลอนก่อนรอบหนึ่ง พอถึงวันที่ 16 กันยายน 2500 “สฤษดิ์” ก็ทำรัฐประหาร ไล่ “ลูกพี่ใหญ่” ไปอย่างไม่มีวันกลับ!?!!