2 มุมมอง ‘ศิธา ทิวารี-สุธรรม แสงประทุม’ การเมืองไทยยังไงต่อ? ตกลงจะมีเลือกตั้งหรือไม่? | รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

2 มุมมอง ‘ศิธา ทิวารี-สุธรรม แสงประทุม’

การเมืองไทยยังไงต่อ?

ตกลงจะมีเลือกตั้งหรือไม่?

 

น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ให้ทัศนะต่อการเมืองเรื่องเลือกตั้งว่า แน่นอนในระบอบ “ประชาธิปไตย” ต้องมีการเลือกตั้ง และในเดือนมีนาคม รัฐบาลครบวาระแน่ๆ

แต่ผมอยากให้มองว่าผู้มีอำนาจปัจจุบันไม่ได้มีอำนาจแค่การบริหารอย่างเดียว เขาพยายามจะแทรกซึมเข้าไปในทุกภาคส่วนตั้งแต่การทำรัฐประหารยึดอำนาจมาได้มีการแต่งตั้งคนเข้าไปในองค์กรอิสระแล้วพยายามเชื่อมโยงอะไรต่างๆ มากมาย มีทั้งคนของตัวเองเข้าไปในองค์กรต่างๆ หรือแสดงเจตนารมณ์ในหลายเรื่องชัด

เราเห็นได้ว่ายังไงเขาก็ต้องการสืบทอดอำนาจต่อไปอีก เพราะมีสิ่งบอกเห็นให้เห็นอยู่มากมาย ตั้งแต่การร่างกฎหมายหรือการดำเนินการต่างๆ ให้ตัวเองได้เปรียบอยู่ตลอดเวลา

ภาพอีกด้านหนึ่งที่คู่ขนานปรากฏว่าเราเห็นฝ่ายประชาธิปไตย ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะชนะถล่มทลาย หรือแลนด์สไลด์ พอเป็นอย่างนี้เมื่อเขาก็รู้ว่าเป็นไปได้สูง เหมือนกับ “แหวกหญ้าให้งูตื่น” รู้ตัวว่าจะแพ้แน่ๆ คำถามคือเขาจะกล้าเข้าสู่สนามเลือกตั้งจริงหรือไม่?

ในเมื่อเขารู้ว่าต้องปล่อยนักกีฬาลงสนามแล้วแพ้ราบคาบ ตายคาบ้านจะยอมลงสนามหรือไม่

พอดูจากแนวโน้มตรงนี้ผมคิดว่า ณ เวลานี้ก็อาจจะมีโอกาสไม่ปล่อยให้เกิดการเลือกตั้งด้วยการอ้างเหตุผลต่างๆ และอาจจะขยายเวลายืดออกไปอีก แล้วจะอยู่ต่อ

ถ้าเป็นแบบนี้ผมเชื่อว่าโอกาสที่จะลากยาวทำให้ไม่มีการเลือกตั้งอาจจะเป็นไปได้สูง ด้วยการอ้างการติดขัดด้วยข้อกฎหมายและเงื่อนไขสิ่งต่างๆ ที่เขาพยายามสร้างขึ้นมา

เมื่อถามว่าเขากล้าที่จะฝืนกระแสสังคมหรือ น.ต.ศิธา ตอบว่า ในเมื่อเขาเคยทั้งฉีกรัฐธรรมนูญใช้รถถังออกมาปล้นอำนาจ ก็ทำมาแล้ว การที่จะทำเรื่องนี้ง่ายกว่าตั้งเยอะ เขามองว่าเขาสามารถที่จะสะกดไม่ให้เกิดความวุ่นวายได้ เพราะถ้าปล่อยให้มีการเลือกตั้งแล้วฝ่ายประชาธิปไตย ชนะจนคะแนนได้มากกว่า 300 เสียง ซึ่งจากมุมมองผมก็คิดว่ากระแสมันก็จะแรง แม้ว่าจะแตกเป็นหลายๆ พรรคแต่คะแนนที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะแรงมาก เลยเห็นภาพของการดีลการเกี้ยเซี้ยะกัน ทำให้คนเริ่มรู้สึกว่าจะมีการผสมพันธุ์กันระหว่างพรรคนั้นพรรคนี้

แต่ที่แน่ๆ ผมมองว่า ฝ่ายประชาธิปไตยชนะแน่นอน ดังนั้น การเลือกตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้มีการเลือกตั้งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการอยู่ยาวได้จริงๆ กับการปล่อยให้มีการเลือกตั้ง แล้วฝ่ายประชาธิปไตยชนะถล่มทลายแล้วไม่ยอมให้เขาไปตั้งรัฐบาลอะไรทำได้ง่ายกว่ากัน?

ผมจึงมองว่าโอกาสที่จะหากลไกต่างๆ มาทำให้ยืดเวลาเลือกตั้งออกไปได้ค่อนข้างจะสูง

 

ขณะที่ความสัมพันธ์ 2 ลุง ตู่-ป้อม น.ต.ศิธา มองว่า ที่หลายคนมองว่าแตกกันแล้ว ผมมองแบบนี้ว่าเราเคยได้ยินที่เขาบอกว่าคนประเภทหนึ่งจะสามัคคีกันเฉพาะตอนปล้น แล้วมาทะเลาะกันตอนแบ่งสมบัติ ผมเชื่อว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ คนที่บอกว่ารักกันดีอยู่ก็ถูกครึ่งหนึ่ง คนที่บอกแตกกันแล้วก็ถูกอีกครึ่งหนึ่ง คือในบางมุมที่สมประโยชน์เขาจะรักกันดี แต่ในบางมุมที่ไม่สมประโยชน์ก็จะแย่งกันทะเลาะกัน

มองในลักษณะนี้ อะไรก็ตามที่จะก้าวไปสู่การทำให้เสียทั้งคู่เขาจะไม่ทำ เหมือนลงเรือลำเดียวกันแล้วถ้าคนหนึ่งไปเจาะท้องเรือทำให้เรือจมตกน้ำตายกันทั้งคู่เขาจะไม่ทำ

แต่ถ้าไปถึงจุดหนึ่งแล้วเขาจะหา Position ของตัวเองเพื่อหาตำแหน่งที่ดีที่สุดบนเรือลำนั้น บางคนอยากเป็นนายท้ายบางคนอยากเป็นคนคุมพวงมาลัยอยากนั่งหัวเรือ ความขัดแย้งเหล่านี้มันมีมาสะสมเหมือนพัฒนาการของคนที่ทะเลาะกัน พอเริ่มทะเลาะจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในที่สุดก็กลายเป็นความบาดหมาง

ผมมองว่า ณ ขณะนี้มันเกินกว่าแก้วที่ร้าวแล้ว มีโอกาสที่จะไปด้วยกันไม่ได้แต่ถ้ามองว่าแตกกันไปเลย ไม่ได้อะไรเลยทั้งคู่ก็เป็นไปได้ที่เขาจะกลับมาเตี้ยอุ้มค่อมกันไปแบบนี้เรื่อยๆ เป็นผีเน่ากับโลงผุพากันต่อไป

สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากบอกกับ พล.อ.ประยุทธ์ คือ “พอเถอะลุง” การอยู่ของคุณประโยชน์ที่ตัวเองได้นิดเดียวเทียบกับสิ่งที่ประเทศชาติต้องเสียไป คิดแล้วคุณก็เป็นแค่ 1ใน 70 ล้านคน คุณได้ประโยชน์อยู่เพียงคนเดียว แต่คนอีก 70 ล้านคนอยู่กันไม่ได้แล้ว ควรถอยได้แล้ว พอได้แล้ว เคยได้ยินหรือไม่นายทหารรุ่นพี่ของคุณเขาก็เคยบอกว่า “ผมพอแล้ว” แล้วก็ลงไปเถอะ อย่ามาคิดว่าผมเก่งที่สุดอย่าคิดว่าผมไม่ทำแล้วใครจะทำยังเหลืออีก 70 กว่าล้านคนที่จะมาทำให้ได้ อย่าปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ จนชาวบ้านเขาบอกว่า “ถ้ามึงเป็นนายกฯ ได้ กูก็เป็นได้ ใครเป็นก็ดีกว่า”

สั้นๆ เลยคือพอได้แล้ว ที่ว่าความสงบจบที่ลุงตู่ คือจบจริงๆ สงบจริงๆ ไม่วุ่นวาย โดยเอาปืนมากดหัว แต่ไปไหนไม่ได้เลยประเทศ เศรษฐกิจก็ไปไม่ได้ ความรู้ก็ไม่มี ไม่เข้าใจ จะทำทุกอย่างตามใจตัวเองไม่ได้

อย่างมาเขียนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีคนที่เก่งที่สุดในโลกเขายังไม่กล้าเขียนเลย โลกมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มาเขียนได้ไงถึง 20 ปี เราไม่ควรต้องเดินตามกระดองเต่ามันเป็นไปไม่ได้

ด้าน นายสุธรรม แสงประทุม แกนนำคนสำคัญพรรคเพื่อไทย นักการเมืองรุ่นใหญ่ มองว่าการเมืองไทยไม่มีความแน่นอน ไม่มีความชัดเจน และไม่พยายามสร้างความชัดเจน และเชื่อว่าคุณประยุทธ์พยายามจะยื้ออำนาจไว้จนกระทั่งยื้อไม่ไหว หรือจนตัวเองรู้สึกว่าเริ่มเสียเปรียบน้อย แล้วปล่อยให้เข้าสู่กระบวนการที่คิดว่าตั้งรับได้และใช้ปัจจัยที่มีอยู่ทางอำนาจนั้นได้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สังเกตจากการย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด หลายจังหวัดบางที่เอารองผู้ว่าฯ ซึ่งฝังตัวอยู่ในพื้นที่ขึ้นมาแทน มีนายอำเภอของเขาอีก สิ่งเหล่านี้ต้องยอมรับ ว่ามันประกอบกับการใช้ปัจจัยที่ได้เปรียบกระสุนต่างๆ งบกลางซึ่งเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ที่จะใส่ลงในพื้นที่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในทางการเมือง

คุณประยุทธ์ จะไปในทางไหนจะตัดสินใจอย่างไรกับอนาคตทางการเมืองของตัวเอง รวมถึงจะใช้กลไกอย่างไรในการรักษาอำนาจและการก้าวเข้าสู่อำนาจครั้งต่อไปตามที่เขาต้องการได้ตรงนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญ

ขณะเดียวกันเขาก็คงจะพยายามยื้อเพราะเกมยุบสภา เพราะเป็นเกมของเขาแต่เพียงเป็นผู้เดียวไม่ใช่เกมของฝ่ายอื่น เว้นแต่เขาอยู่ไม่ได้เพราะพรรคร่วมรัฐบาลทะเลาะกันหนักจนองค์ประกอบของรัฐบาลไม่เป็นโล้เป็นพาย อยู่ไปก็เสียหายหนัก จุดนี้ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เขาจะต้องดู

เขาต้องมั่นใจว่าเริ่มวางฐานรากในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้ ให้พรรคการเมืองที่เขาจะเอามาใช้เป็นหลักในการเลือกตั้งหนหน้าสามารถจัดตั้งเซ็ตตัวเองขึ้นมาได้ สร้างการยอมรับให้เกิดขึ้นและเป็นแม่เหล็กในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้

 

ข้อสังเกตสำคัญที่สุธรรมมองคือ พรรคที่หาประโยชน์จากการเกิดขึ้นของรัฐบาลประยุทธ์การดำรงอยู่ของรัฐบาลประยุทธ์ คือ “พรรคภูมิใจไทย” ที่เขาเข้าใจความอ่อนด้อยความไม่สมประกอบของระบอบประยุทธ์ แล้วนำมาใช้สร้างคะแนนให้ตัวเองขึ้นมา เช่น ยามที่มีผู้แทนแตกแถว เพื่อรักษาหน้ารัฐบาล และขณะเดียวกันก็สามารถต่อรองสร้างการยอมรับให้เกิดขึ้นได้ เขาสามารถใช้ความไม่มั่นคงของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเอง ซึ่งพรรคนี้เขามีบทเรียนมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากความไม่สมประกอบของรัฐบาลอภิสิทธิ์เขาสามารถต่อรองจนเขาได้เปรียบที่สุดได้กระทรวงที่ดีที่สุด

ในวันนี้ก็เช่นเดียวกันเขาสามารถประคอง-อาสาทำให้รัฐบาล จนทำให้คนอื่นไม่กล้า เขาทั้งซื้อทั้งช้อนเก็บไว้เพื่อไม่ให้รัฐบาลเสียหน้ารัฐบาลเสียงก็ไม่แกว่งไปฝ่ายค้าน เมื่อรัฐบาลเกิดปัญหาเขาก็สามารถยื่นให้รัฐบาลดูได้ว่ามีกี่เสียงอยู่ในมือ

ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยถึงจะใช้โอกาสและประโยชน์มากที่สุด เพียงแต่วันนี้ตัวเขาเองเจอปัญหาเรื่องกัญชาเท่านั้นและพื้นที่ของเขาหลายจุดจะเป็นพื้นที่ที่ต้องปะทะกับพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างรุนแรง ดังนั้น ประชาธิปัตย์ก็อาจจะดึงเกมนี้มาใช้ให้เกิดความสั่นไหวทำลายเครดิตของเขาไปในตัวเช่นเดียวกัน

ผมคิดว่าวันนี้ฝ่ายประชาธิปไตยสร้างความพร้อมเป็นฝ่ายหลักในสนามเลือกตั้ง แต่ฝ่ายรัฐบาลเองต่างหากที่กำลังอยู่ในขั้นไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้ง พปชร.อย่างที่ทราบว่าเขามากองรวมกันอยู่กันเป็นก๊กไม่ได้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันแต่แรก จึงไม่ได้เกิดพลังที่เป็นปึกแผ่น หมายความว่าพร้อมจะแยกกันได้ตลอดเวลาเกิดวิกฤตอะไรขึ้นมาก็พร้อมแตกกันเสมอทั้งที่นี่คือพรรคหลักของรัฐบาล

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลก็คิดถึงประโยชน์ใหม่แล้ว เพราะตอนนี้เป็นยุคปลายของรัฐบาลนี้แล้ว ดังนั้น กฎหมายต่างๆ ที่ยังค้างอยู่ถ้าเป็นประโยชน์ของพรรคใดพรรคหนึ่งและขัดประโยชน์ต่อพรรคใดก็จะเป็นตัวที่ทำให้เกิดความแตกแยกได้มากขึ้นไปอีก

ในขณะที่ 2 ลุง ผมคิดว่าเขามีจุดร่วมและจุดต่างแล้วมีจุดร่วมมากกว่าจุดต่าง อย่าลืมว่าเขาร่วมกันมาตั้งแต่ปล้นอำนาจช่วงชิงอำนาจมาด้วยกันความผูกพันในอดีต มีการแบ่งปันกันมาเสมอเมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกันเสมอ แต่ความแตกต่างในระยะหลังจะเกิดขึ้นเมื่อมีการบริหารบ้านเมืองไประยะหนึ่ง มีส่วนต่างมากขึ้นในระยะหลังมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ยังเดินไปไม่ถึงจุดแตกหักเพราะประยุทธ์ก็ลอยตัวประวิตรก็ลงเล่นเองหลายอย่าง แล้วการสร้างพรรคของเขาก็ต้องยอมรับว่าการที่ไปล็อกคอคนเข้ามา คนหาทุนมาเข้าพรรคคือประวิตร ส่วนประยุทธ์จะค่อนข้างลอยตัว