สลาย (ม็อบ) ไม่ว่า…เสียหน้าไม่ได้ | เหยี่ยวถลาลม

“ผมพร้อมพลิกโฉมประเทศอย่างก้าวกระโดดไปสู่ประเทศชั้นนำของโลก” ถ้าประโยคนี้ไม่ใช่ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” พูดออกมาคงน่าตั้งใจฟัง

“ประยุทธ์” ไม่ได้เข้าใจโลกและประเทศของตัวเองเลย ไม่เหมือนกับรุ่นพี่ “สนธิ” ที่ตาสว่างแล้ว

หลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ 2535” เคยเชื่อกันว่าการเมืองไทยจะพัฒนาก้าวไกลไปทัดเทียมนานาอารยประเทศ

แต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทำให้เกิด “จุดเปลี่ยน”

เปลี่ยนจาก “ก้าวไปข้างหน้า” เป็น “ถอยหลัง”!

ต่อมาเมื่อเข้ารับการศึกษาระดับปริญญาเอก ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. และอดีตผู้นำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้เคยเปิดอกให้สัมภาษณ์พิเศษ “4 ปี รัฐประหาร 19 กันยา 2549″กับ บุญเลิศ ช้างใหญ่ ตีพิมพ์ในนิตยสาร”มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับ 3-9 กันยายน 2553 (ปีที่ 30 ฉบับที่ 1568) โดยยอมรับว่า “พลาด”

(อ้างซ้ำจากหนังสือ มาคิอาเวลลี : การเมืองไทยของเจ้าผู้ปกครอง -กานต์ บุณยะกาญจน เขียน, สำนักพิมพ์มติชน จัดพิมพ์) พล.อ.สนธิกล่าวในตอนหนึ่งว่า

“แมคเคียวเวลลีเขียนหนังสือไว้เมื่อ 500 ปีมาแล้ว พูดถึงว่า คนที่ทำรัฐประหาร หลังรัฐประหารมันจะออกผลมายังไง ถ้าเราได้อ่านอันนั้นก่อน การที่จะมีความคิดวันที่ 19 กันยาก็ต้องคิดหลายตลบ”

พล.อ.สนธิยังยอมรับว่า การที่เรียนรัฐศาสตร์มีคุณค่ามหาศาล ได้รู้ว่าการเมืองคืออะไร ทำไมสังคมเป็นอย่างนี้ ระบบเศรษฐกิจเป็นยังไง…เป็นทหารที่เคยอยู่แต่ในป่า เมื่อกลับมาในเมืองแล้วรู้สึกว่า มันโง่กว่าเขามาก จึงต้องใฝ่ศึกษา เพื่อจะได้รู้ว่าโลกมันเป็นยังไง โลกมันกว้าง ไม่ได้แคบ เราเห็นโลกแคบๆ มาตลอด

(Photo by PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP)

ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีต ผบ.ทบ. และผู้นำรัฐประหาร “22 พฤษภาคม 2557” ยังคงอยู่ในโลกแคบและมืด!

ปลาบปลื้มกับอีแค่ได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปค

ภาคภูมิใจที่สามารถสกัดกั้นการชุมนุมของคนเห็นต่างด้วยการใช้สลายม็อบ

ประยุทธ์คงจะเชื่อจริงๆ ว่าคนไทยจนและโง่ เชื่อง่าย ลืมง่าย จึงชอบอวดอ้างเพ้อๆ ผิดๆ ว่ามีผลงานมากมายทั้งด้านการพัฒนาระบบคมนาคม ด้านเศรษฐกิจ และสาธารณสุขที่สามารถควบคุมสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างยอดเยี่ยม

ลืมกันไปแล้วหรือว่า ไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ แค่เท่ากับรัฐเท็กซัส 1 รัฐของสหรัฐอเมริกา แต่กลับเคยทำสถิติ มีผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ มากสุดเป็นอันดับ 6 ของโลก

เสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก

และมีคนตายติดท็อป 10 ของโลกติดต่อกันเป็นเดือน

ทั้งทีดีอาร์ไอ และไอเอ็มเอฟก็ยืนยันไทยเหลื่อมล้ำรุนแรง คนว่างงาน 3 ล้าน หนี้ครัวเรือนสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ

จาก 22 พฤษภาคม 2557 ถึงวันนี้จึงเป็น “8 ปีที่สูญหาย”

แต่ถ้าย้อนทวนไปถึง 19 กันยายน 2549 ที่ “สนธิ” แอบสำนึกเสียใจก็ต้องเรียกว่า “16 ปีที่ถอยหลัง”

ควรจะเห็นใจคนรุ่นหลังเกิดและเติบโตในท่ามกลางสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่ทรุดโทรมเสื่อมทราม

การประชุมเอเปค 2022 ไม่ได้บ่งชี้ถึงฝีมือหรือผลงานอะไรของรัฐบาล

ที่ “ควรจะ” สนใจ-กลับมองไม่เห็น

ที่ไม่ควรเห็นว่าเป็นภัย-กลับลุแก่อำนาจ ใช้กำลังตำรวจเข้าปิดล้อม สกัดกั้น และลงมือรุนแรง

“เอ็มมานูแอล มาครง” ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส คนไกลที่อยู่ห่างจากประเทศไทยออกไปเกือบ 1 หมื่นกิโลเมตร กลับ “มองเห็น” ในสิ่งที่รัฐบาลไทย “มองข้าม”

“แสงเดือน ชัยเลิศ” ผอ.ศูนย์บริบาลช้างแม่แตงและประธานมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว…ดิฉันขอบคุณรัฐบาลฝรั่งเศส ฯพณฯ ประธานาธิบดีมาครง และสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ที่ให้เกียรติอย่างสูงนี้แก่ดิฉัน ขอบคุณที่ท่านได้เห็นคุณค่าการทำงานของพลเมืองโลกตัวเล็กเช่นดิฉัน ภูมิใจที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสมาประดับเหรียญเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำชาติสูงสุด “ชั้นอัศวิน” ให้เอง

เช่นเดียวกัน มีนักกอล์ฟสาวหลายคนออกไปทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทยลือลั่นทั่วโลก ในอเมริกา ในยุโรป ในญี่ปุ่น “โปรเม-โปรจีน” ขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกมาแล้วถึง 2 คน สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการกอล์ฟไทย เคยมีการเชิดชูเกียรติสนับสนุนส่งเสริมอะไรเป็นพิเศษแก่ลูกสาวไทยเหล่านั้นบ้างหรือไม่

แม้จะมีดวงตา แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็จะมองไม่เห็น “โอกาสที่สูญเสีย” กับ “เวลาสูญหาย”!

การชุมนุมของกลุ่ม “ราษฎรหยุดเอเปค 2022” ที่เห็นต่างจากรัฐบาลซึ่งมีพื้นเพมาจากคณะรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ไม่ใช่การให้ร้ายทำลายประเทศไทย เป็นแต่เพียงไม่ยอมรับ “คนนำทาง” ประท้วงรัฐบาล ไม่ใช่ประท้วงประเทศ

คนที่ลุแก่อำนาจ จะรู้สึกเสียหน้าไม่ได้ แค่ผู้ชุมนุมมือเปล่าก็เห็นเป็น “ภัยคุกคาม” จะต้องเร่งสยบ สลายการชุมนุม

ที่ อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล หยิบเอาเหตุการณ์สลายการชุมนุมบริเวณแยกถนนดินสอ มาโพสต์เตือนเรื่อง “การใช้อำนาจรัฐ” นั้นน่าสนใจ

“เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย การยิงกระสุนยางไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ที่สหประชาชาติกำหนดว่าต้องยิงต่ำเท่านั้น ไม่ใช่ยิงหัว ยิงตัว ยิงตา ยังมีการทำร้ายสื่อมวลชนบาดเจ็บหลายรายทั้งๆ ที่ใส่ปลอกแขนแสดงตนชัดแจ้ง จึงเห็นว่าควรดำเนินคดีให้เป็นคดีตัวอย่างเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก และต้องฟ้องนายกรัฐมนตรีด้วยในฐานะผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเชื่อได้ว่ารู้เห็นหรืออาจเป็นผู้สั่งการด้วยซ้ำ เพราะการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ตำรวจและนายกรัฐมนตรีจะต้องเคารพ ไม่ใช่ใช้กำลังโดยผิดกฎหมายและเกินเลย”

ประยุทธ์ยังคงไม่ออกจากโลกแคบใบเก่า

การจัดซื้ออาวุธยังอยู่ภายใต้เหตุปัจจัยเดิมๆ ตำรวจยังคงถูกแช่แข็ง ไม่กระจายอำนาจ ไม่ปฏิรูปให้ถูกทาง

ระบบความคิดที่ครอบงำกระบวนการยุติธรรมยังคงล้าหลัง อาญาไม่ถึงเบื้องสูง เกียรติยศไม่อาจมีในบ่าวไพร่!?!!