อนาคตประเทศไทย ยังไม่มีอนาคต | เหยี่ยวถลาลม

แฟนเพจเฟซบุ๊กลุงตู่ตูนเพจที่สนับสนุนประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ไปต่อ โพสต์ชวนตื่นเต้นว่า “ลุงตู่ได้วางรากฐานด้านคมนาคมของไทยเสียใหม่เพื่อให้ก้าวทันนานาประเทศ…”

เด็กที่เพิ่งเกิดเมื่อปี 2020 หรือ พ.ศ.2563 ยังไม่ประสีประสา “ไม่อาจรับทราบ”

แต่ขอให้ “รับรู้” เอาไว้เถอะว่า ถ้าหากในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ประเทศไทยไม่มี “รัฐประหาร” ในวันที่เขาและเธอเกิดเมื่อปี 2020 หรือ พ.ศ.2563 นั้น ประเทศไทยเรามีรถไฟฟ้าความเร็วสูงใช้กันแล้วในปี 2563

กว่า 11 ปีก่อน รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะพัฒนาพลิกโฉมโครงสร้างระบบรางเพื่อการขนส่งมวลชนและการบริการจัดการระบบขนส่งสินค้าและบริการ

“สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020” จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องใช้ “เงินกู้”

แต่หากต้องกู้ก็ต้องอาศัยกฎหมาย จึงมีการร่าง พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ….

จำได้แม่นว่าก่อนจะเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มีการสุมฟืนและจุดไฟกันอย่างครั้งใหญ่

ทุกกลไกของรัฐตั้งใจเพิกเฉยละเลยต่อการทำหน้าที่ราวกับได้รับสัญญาณในทางลับว่า อำนาจรัฐกำลังจะเปลี่ยนมือ

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รถไฟความเร็งสูงยังไม่จำเป็น ไม่เร่งด่วน ให้ถนนดินลูกรังหมดไปจากประเทศเสียก่อน

ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ

อนาคตประเทศไทยดับวูบ!?

(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

ไม่นานนักหลังจากนั้น เสียงครืนๆ จากขบวนรถถังบดท้องถนน กำลังพลทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ครบมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนแล้วฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง

ผิดกฎหมาย ผิดธรรมเนียมประเพณีการปกครอง ป่าเถื่อน ไร้อารยะ แต่ลอยนวล!

นับจาก 22 พฤษภาคม 2557 ล่วงมาถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 8 ปี “ผลงาน” ที่น่าภาคภูมิใจของใคร รัฐบาลใดที่จำนวน “คนจน” ของประเทศเพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านคน เป็น 22 ล้านคน

ก่อนรัฐประหาร โหมกระหน่ำวาทกรรมทำลายฝ่ายตรงข้ามกันอย่างวิปริต โครงการที่ช่วยเหลือประชาชนให้ได้ลืมตาอ้าปากถูกรื้อทำลาย กล่าวหาว่ามีการทุจริตกันอย่างไม่จำแนกแยกแยะ

ก่อนนั้นราคายางพารากิโลกรัม 90 บาทรับกันไม่ได้ นักจุดไฟเกณฑ์มวลชนปิดถนนจนการขนส่งอัมพาต เป็นชนวนไล่รัฐบาลพลเรือน

หลังรัฐประหาร ยางพารา 3 กิโลกรัม 100 บาท มีใครหือ!?

“ตู่” มาไกลถึงวันนี้ ไม่ใช่โชคช่วย แต่มาด้วยการวางแผน

หลังรัฐประหารใหม่ๆ ใครถามเรื่องการสืบทอดอำนาจ ทำเป็นหน้าบูดหน้าบึ้งถมึงทึงเกรี้ยวกราดสะบัดก้น ยกไหล่ยืดอกใช้ท่วงท่าทหารข่มคุกคาม

แต่วันนี้สมุนบริวารตั้งทีมโพสต์สร้างภาพใหม่ ลุงตู่ เป็นนักการเมืองเต็มตัว มีผลงานมากมาย หลากหลาย ที่ภาคภูมิใจยิ่งนัก คือโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กับการลงทะเบียนคนจนหรือประชาชนกลุ่มเปราะบาง ทั้งหมดนั้นเพื่อ “ปูทาง” ไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าจะมีขึ้นภายหลังสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ครบเทอมในวันที่ 24 มีนาคม 2566

แต่ทางเดินในวันพรุ่งนี้ “ตู่” จะไปทางไหน

เดิมที “ตู่” เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารในนาม “คสช.” ถัดจากนั้นรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ดีไซน์ให้ ส.ว. 250 คน มีอำนาจยกมือให้ “ตู่” กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การเสนอชื่อจากพรรคที่จัดตั้งขึ้นภายหลังรัฐประหารชื่อ “พลังประชารัฐ”

ตู่อยู่มาจนทั้งคนรอบข้างและรอบนอกต่างก็บอกว่า นานไปและชวนเบื่อ น่าจะเปิดทางให้ “พี่” บ้าง

แต่เมื่อ “ตู่” ต้องไปต่อ สมุนบริวารก็ต้องคิดหาที่หาทาง

แฟนเพจเฟซบุ๊กลุงตู่ตูนเพจจึงว่า…อีกไม่นานคงจะได้รู้ว่า ลุงตู่ของเราเข้าสังกัดพรรคการเมืองใด

ขณะเดียวกันเมื่อมีคนไปถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า ถ้านายกรัฐมนตรีไม่อยู่พลังประชารัฐแล้วจะทำยังไง คราวนี้ “พี่ ป-ป้อม” ก็ตอบชัดเจนว่า – ไปเลย ไปไหนก็ไป ผมไม่ว่าอะไร ใครอยากไปไหนก็ไป เป็นเรื่องตัวบุคคล แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะไปก็ไม่ห้าม ไม่ห้ามใครทั้งนั้น

พลัน รอยยิ้มพริ้มพรายก็ผุดขึ้นที่มุมปาก “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” แห่งพรรครวมไทยสร้างชาติ

สามเดือนจากนี้จึงเป็นมหกรรมเก้าอี้ดนตรี

“ส.ส.” เปลี่ยนพรรค กับ “ส.ว.” เปลี่ยนสี เป็นความปรกติของโลก

หลังจากรัฐประหารล่วงผ่านไปกว่า 8 ปี ลูกพี่ใหญ่ 2 ป. ก็เปิดหน้าเล่นการเมืองเต็มตัวอย่างไม่อายอีกต่อไป โพลสำนักดังสำรวจแต่เนิ่นๆ เช็กเรตติ้งคนภาคกลางสนับสนุนบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 เป็นอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร อันดับ 2 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อันดับ 3 ประยุทธ์ ส่วนหัวหน้าพรรคการเมืองไม้ประดับทั้งหลายไม่ติดฝุ่น

เรตติ้ง ส.ส.เขต อันดับ 1 คือ เพื่อไทย อันดับ 2 ก้าวไกล อันดับ 4 พลังประชารัฐ อันดับ 5 ประชาธิปัตย์ อันดับ 8 ภูมิใจไทย ซึ่งเมื่อลองนำคะแนน “เพื่อไทย+ก้าวไกล” เปรียบเทียบกับ “พลังประชารัฐ+ประชาธิปัตย์+ภูมิใจไทย” แล้ว ยังทิ้งห่างกันลิบลิ่ว 52/20

เรตติ้งความนิยมพรรคจากคะแนนของ “ปาร์ตี้ลิสต์” ก็เช่นเดียวกัน ถ้านำเอา “เพื่อไทย+ก้าวไกล+เสรีรวมไทย” เทียบกับ “พลังประชารัฐ+ประชาธิปัตย์+ชาติไทยพัฒนา+ภูมิใจไทย+ชาติพัฒนากล้า” แล้วยังห่างกันถึง 56/24

แต่แม้จะคาดว่าในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคฝ่ายค้านปัจจุบันจะได้รับความนิยมจากประชาชนมากมายแค่ไหนก็ตาม “พรรคฝ่ายรัฐบาล” ในเวลานี้ก็ยังคงได้เปรียบในการจัดตั้งรัฐบาล

การกำเนิดของรัฐบาลกับการดำรงคงอยู่ของรัฐบาลภายใต้กติกาอันฉ้อฉลนี้ยังคงต้องอาศัยเสียงของ ส.ส. รวมกับ ส.ว. เกินครึ่งหนึ่งของรัฐสภา

นั่นคือ 375 เสียง

การมี 250 เสียงของ ส.ว.รออยู่ในสภา มั่นคงยิ่งกว่ามีพรรคการเมืองใดๆ สนับสนุน เพียงรวบรวม ส.ส.เขตกับ ส.ส.บัญชีรายชื่อจากพรรคการเมืองไม้ประดับมาให้ได้แค่ 125 เสียง “อำนาจอธิปไตย” ที่เคยถูกพรากไปเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ก็ยังคงไม่ได้คืนกลับมาอย่างแท้จริง

“อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ” ยังคงตกอยู่ในมือของอดีตผู้นำรัฐประหารต่อไป!?!!