“พี่ป้อม-น้องตู่” จบไม่ลง “บริวารเป็นพิษ” | จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

เกิดประเด็นดราม่ามานั่งเคลียร์ ผลัดกันเกาหลังกันมาแล้วหลายระลอก แต่ทุกครั้งเหมือนเคย “จบไม่ลง” จริงอยู่ความรักความผูกพันระหว่าง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” มีกันมายาวนาน สร้างตำนาน “3 ป.” ผงาดในศูนย์อำนาจ ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน

แต่สมรภูมิการเมือง เหมือนป่าใหญ่ เต็มไปด้วยเสือ สิงห์ กระทิง แรด หน้าตามีเขางอกทั้งนั้น เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ “พี่ป้อม” กับ “น้องตู่” รักกันนานแค่ไหนก็มีวันแตก ความผูกพันมากขนาดไหน ก็มีวันสิ้นสุด

ต้องยอมรับว่า จุดที่ทำให้ “พล.อ.ประยุทธ์” กับ “พล.อ.ประวิตร” ถึงจุดแตกหัก พันธะผูกพันล่มสลายมาจาก “บริวารเป็นพิษ” คนใกล้ตัวของทั้งสองฝ่าย ชอบจุดไฟสุมรังมดแดง คือปฐมเหตุสำคัญ

ที่ยกระดับทำให้วิญญาณหลุดจากร่าง ภายหลัง “นิพนธ์ บุญญามณี” แสดงสปิริตไขก๊อกออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่อยากปล่อยให้เสียพื้นที่โดยเปล่าประโยชน์ ส่งซิกขอปรับคณะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่อยากให้ความขัดแย้งแผ่กระจาย ตอบรับข้อเสนอ

แกนนำประชาธิปัตย์จึงทำการคัดตัว เตรียมชงชื่อ “นริศ ขำนุรักษ์” ขึ้นลิฟต์นั่งแป้น มท.2 ในโอกาสเดียวกัน “น้องตู่” ทนแรงกดดันจากพรรรคประชารัฐไม่ไหว ส่งสัญญาณผ่าน “พี่ป้อม” พร้อมที่จะปรับใหญ่ไปในวาระเดียวกันตามไปด้วย

ปรากฏว่า ลูกข่ายบ้านป่ารอยต่อฯ คิดเล่นของใหญ่ นอกจากอะไหล่เสริม 2 เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์ แทน “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” กับช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน แทน “นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์” แล้ว ยังอยากยกเครื่อง ดัน “พล.อ.ประวิตร” ไปนั่งว่าการกระทรวงมหาดไทย อ้างว่าเพื่อให้ดูแลศึกเลือกตั้งใหญ่อย่างทั่วถึง โดยให้ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” สลับฟันปลาไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

หรือกรณีที่เงื่อนไขข้อนี้ถูกปฏิเสธ จะขอพบกันครึ่งทาง ให้คนใกล้ชิดมากๆ กับ “บิ๊กป้อม” ไปนั่งบัญชาการว่าการกระทรวงพลังงาน โดนข้อเสนอเข้าแบบนี้ “บิ๊กตู่” เลยได้แต่อึ้งกิมกี่ พับแผนปรับคณะรัฐมนตรีลงโดยปริยาย พรรคประชาธิปัตย์โดนแคนนอนพลอยวืดตามไปด้วย

หลังจากนั้นผีก็ร้าย ความไข้ก็ตามมา เครือข่าย “2 ลุง” ปล่อยข่าวทิ้งบอมบ์กันวุ่น “เด็กสายบ้านป่าฯ” โยนกลองว่า “คนทำเนียบ” ไม่มีความชัดเจนอะไรสักอย่าง เป็นคนสะกิดสีข้างให้ “พี่ป้อม” ส่งชื่อเด็กในคาถามาให้เพื่อปรับคณะรัฐมนตรี พอเสนอไปก็เบี้ยวหน้าตาเฉย

ขณะเดียวกัน หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก ว่าความเป็นนายกรัฐมนตรียังไม่สิ้นสุด ได้ไปต่ออีกครึ่งเทอม 2 ปี หลังไปชนกำแพงเอาในวันที่ 5 เมษายน 2568

“พล.อ.ประยุทธ์” ยังลัลล้า ไม่รู้จะเอาอย่างไรแน่กับแคนดิเดตบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งๆ ที่ “พี่ป้อม” ปูพรมแดงไว้ให้เดินเรียบร้อยแล้ว ยังไม่ตกล่องปล่องชิ้น แบบชัดถ้อยชัดคำ ขณะที่พรรคการเมืองอื่นเปิดตัว จัดแถวกันอึกทึกครึมโครม

“สายบ้านป่ารอยต่อฯ” โจมตีมาอย่างนั้น แต่ “ลูกหาบบิ๊กตู่” กลับว่าไปอีกอย่างซะงั้น ระบุว่า “พี่ป้อม” แอบสะกิดสีข้าง “น้องตู่” ให้รีบตัดสินใจหากยังอยากไปต่อกับพรรคพลังประชารัฐ ก็ต้องเดินตามขั้นตอน

คือไปยื่นใบสมัครเป็นสมาชิกพรรค เมื่อเรียบร้อยแล้ว จะได้เรียกประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค และประกาศให้สาธารณะรับทราบอย่างเป็นทางการว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร จะถือธงนำคู่สู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ในสมัยหน้าด้วยกันอย่างเดิม

โดย “พล.อ.ประยุทธ์” จะรับตำแหน่งใดๆ ในพรรคด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่จะได้นั่งเก้าอี้แคนดิเดตนายกฯ หมายเลข 1 โดย “พล.อ.ประวิตร” อยู่ลำดับชื่อที่ 2

การยื่นข้อเสนอให้ “บิ๊กตู่” เดินตามกรอบไปสมัครเป็นสมาชิก พปชร.เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง อีกฝ่าย “ควันออกหู”… รักนะพี่จุ๊บ จุ๊บ เป็นห้องเครื่องไฮไลต์สำคัญให้

ไม่กี่วันต่อมา “พล.อ.ประยุทธ์” เชิญ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ไม่ได้ไปพบในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

แต่ไปในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ที่ชื่อ “รวมไทยสร้างชาติ” ซึ่งใครๆ ก็ทราบกันดีว่าพรรคการเมืองนี้ตั้งขึ้นมารองรับ “พล.อ.ประยุทธ์” โดยเฉพาะ

หัสเดิม “บิ๊กตู่” ส่ง “พีระพันธุ์” ไปดูลาดเลาที่ พปชร.มาระยะหนึ่ง หวังจะไปร่วมหัวจมท้ายด้วย แต่แป๊บเดียว ลิเกเลิก ถูกขาใหญ่ ขาแร็พ ทำตัวเป็นเด็กช่างกลรุมกินโต๊ะไม่เว้นแต่ละวัน “เสี่ยตุ๋ย” ก็เลยตุหรัดตุเหร่มาปลุกปั้น “รวมไทยสร้างชาติ” ได้ฤกษ์เปิดตัวกันอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา ยิ่งใหญ่อลังการไม่ใช่ย่อย

มีพื้นที่เป้าหมายอยู่ที่สนามเลือกตั้งภาคใต้ ที่คาบนี้ เพิ่ม ส.ส.เขตเลือกตั้งเป็น 58 ที่นั่ง เดิมจากการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2562 “เสาไฟฟ้า” ที่พะยี่ห้อประชาธิปัตย์ล้มระเนระนาด

พรรคที่เข้าไปเสียบและแย่งพื้นที่ได้เป็นกอบเป็นกำมากที่สุดคือ “พลังประชารัฐ” ซึ่งต้องยอมรับว่าการที่ผู้สมัครสามารถชนะศึกได้มากถึง 13 ที่นั่ง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นนานมาแล้วในสนามปักษ์ใต้บ้านเรา

ปัจจัยสำคัญมาจากกระแสนิยม “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” โดดเด่น และขณะนี้ก็ถือว่ายังไม่ตกมาก เมื่อดูจากผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ครั้งที่ 1 เรื่อง “คนที่ใช่ พรรคที่ชอบของคนภาคใต้” ที่สุ่มทำสำรวจเมื่อวันที่ 17-20 ตุลาคมที่ผ่านมา จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

“คนที่ใช่ของคนปักษ์ใต้” อันดับ 1 คือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ร้อยละ 23.94 นำโด่ง เพราะซื่อสัตย์ สุจริต มีความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ อันดับ 2 เป็น “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ร้อยละ 13.24

แม้พรรคที่ชอบ ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อจะยังสงวนไว้กับเจ้าถิ่นที่ชื่อ “ประชาธิปัตย์” ด้วยสัดส่วนร้อยละ 27 กว่าๆ ก็ยังชี้ให้เห็นว่า “บิ๊กตู่” ยังครองตลาดขวัญใจคนปักษ์ใต้

โอกาสที่ ส.ส.เดิมของพลังประชารัฐ จำนวน 12 คนที่เหลืออยู่ จะย้ายตาม “บิ๊กตู่” ไปซบรวมไทยสร้างชาติมีความเป็นไปได้สูง

กรณีที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ข้ามห้วยมานั่งเป็นนางกวักที่รวมไทยสร้างชาติ อาจจะมี ส.ส.จาก พปชร.ย้ายตามมาเกือบครึ่ง และคงจะได้รับเลือกตั้งมากกว่า 25 ที่นั่ง เกินร้อยละ 5 ของจำนวน ส.ส.เต็มจำนวน 500 ที่นั่ง

เลยเส้นยาแดงข้อกำหนด สามารถเสนอชื่อชิงนายกฯ ได้ค่อนข้างชัวร์

แล้วพรรคพลังประชารัฐ จะเหลือ ส.ส.เท่าไหร่