ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 พฤศจิกายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“ระบบโลกมีปัญหา และจีนมีคำตอบให้”
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
ในวันเวลาที่จีนก้าวขึ้นสู่การเป็น “รัฐมหาอำนาจใหญ่” ภายใต้สถานการณ์การแข่งขันของรัฐมหาอำนาจ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในของจีนย่อมเป็นประเด็นที่จะต้องถูกจับตามองจากเวทีโลก
เพราะการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ย่อมกระทบกับความเป็นไปของสถานการณ์โลกในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่โลกมีความผันผวนเช่นในปัจจุบัน ซึ่งมีแนวโน้มของการก้าวสู่สภาวะ “สงครามเย็นในศตวรรษที่ 21” อย่างเห็นได้ชัด
เราทราบกันดีว่า ตัวผู้นำของรัฐมหาอำนาจใหญ่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่บ่งบอกถึงทิศทางการเมืองโลกในอนาคต เพราะการเปลี่ยนตัวผู้นำย่อมมีนัยถึงการเปลี่ยนนโยบายในตัวเอง
ดังเช่นที่โลกเคยเห็นถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาแล้ว
ซึ่งการ “สะวิง” ในเชิงนโยบายนี้เป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนตัวผู้นำ
ในกรณีของจีน จึงมีข้อถกเถียงอย่างมากว่าในเทอมที่ 3 ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นั้น จีนจะปรับเปลี่ยนนโยบายอย่างไรหรือไม่

ศูนย์กลางพรรค-ศูนย์กลางอำนาจ
ในการเมืองจีนนั้น การประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อเลือก “คณะกรรมการประจำ” (The Standing Committee) ของคณะกรรมการกลางพรรคเป็นข่าวสำคัญที่สุด เพราะคณะกรรมการนี้คือ “ศูนย์กลางพรรค” หรือมีสถานะเป็น “ศูนย์กลางอำนาจรัฐ” ที่แท้จริงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
การประชุมพรรคเพื่อเลือกคณะกรรมการดังกล่าวจึงเป็นข่าวสำคัญที่โลกติดตาม เพราะคณะบุคคลในคณะกรรมการประจำจะเป็นเครื่องบ่งบอกทิศทางของนโยบายจีนในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ทุกคนจะพอคาดเดาได้ว่าการขยายเวลาของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในเทอมที่ 3 เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะผิดไปจากที่คาดคะเนกันไว้แต่อย่างใด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเขาสามารถกระชับอำนาจภายในพรรคได้อย่างมาก คู่แข่งขันสำคัญในทางการเมืองล้วนถูกขจัดออกไปแล้ว
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เมื่อการประชุมพรรคก็จบลงด้วยชัยชนะของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตามที่คาดไว้
เขากลายเป็นผู้นำจีนที่มีอำนาจมากที่สุดนับตั้งแต่ยุคของประธานเหมา เจ๋อตุง และกลายเป็น “ผู้นำตลอดชีพ” เช่นที่ประธานเหมาเคยเป็นมาแล้ว
ดังจะเห็นได้ว่าจีนจาก “ยุคประธานเหมา” ในวันวาน กำลังก้าวสู่ “ยุคประธานสี” ในวันนี้…
ถ้าวันวานสังคมจีนต้องศึกษา “คำสอนประธานเหมา” วันนี้สังคมจีนต้องศึกษา “คำชี้แนะประธานสี” ไม่แตกต่างกัน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก้าวขึ้นสู่อำนาจในตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 2012 และเป็นครั้งแรกที่ผู้นำจีนได้อยู่ในอำนาจมากกว่า 2 เทอม เนื่องจากมีข้อกำหนดเดิมที่เลขาธิการพรรคฯ จะอยู่ในอำนาจได้ไม่เกิน 10 ปี (หรือ 2 เทอม) เพื่อป้องกันปัญหาการผูกขาดอำนาจในพรรค อันจะนำไปสู่ “ลัทธิบูชาตัวบุคคล” เช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และการผูกขาดอำนาจจะนำไปสู่ “การปกครองแบบผู้นำคนเดียว”
แต่กติกานี้ต้องยกเลิกไปในปี 2018 เพื่อเปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อยู่ในอำนาจต่อไปได้
การแก้กติกานี้คือภาพสะท้อนถึงการสร้างฐานอำนาจที่เข้มแข็งของเขาในการเมืองจีน
และการยกเลิกกติกานี้จึงทำให้เขาเป็น “ผู้นำตลอดกาล” ของจีนอย่างแท้จริงในยุคปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้การเมืองจีนซึ่งเป็น “ระบบพรรคเดียว” กลายเป็นการปกครองแบบ “ระบอบคนเดียว”
อีกทั้งการประชุมพรรคครั้งนี้ยังได้เห็นถึงการแสดงอำนาจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ด้วยการพาตัว “อดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา” ออกจากการประชุม…
ภาพนี้ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก จึงเสมือนกับการส่งสัญญาณทั้งภายนอกและภายในว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คือ “ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว” และไม่อนุญาตให้ใครมาท้าทาย
ดังเช่นที่เขาเคยจัดการกับคู่แข่งขันเพื่อกระชับอำนาจภายในพรรคฯ มาแล้วด้วยข้อหาคอร์รัปชั่น จนข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่นถูกมองว่าเป็นเครื่องมือในการกวาดล้างคู่แข่งทางการเมืองที่ใช้อย่างได้ผล และอาจเป็นข้อกล่าวหาที่ “ถูกใจ” คนในสังคมจีนที่เห็นถึงความฉ้อฉลจากการคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นกับผู้นำพรรคในระดับบน แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้
การใช้การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นเครื่องมือจึงไม่เพียงช่วยในการจัดการกับคู่แข่งทางการเมือง แต่ยังช่วยสร้างเสียงสนับสนุนจากสังคมด้วย และยังช่วยสร้างภาพให้เขาเป็น “ผู้นำมือสะอาด” ของจีน
แม้สำนักข่าวซินหัวของจีนจะพยายามแถลงว่า ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา สุขภาพไม่ดี และจำเป็นต้องออกไปพักผ่อนก่อนการประชุมจบ
แต่ดูเหมือนคำแถลงเช่นนี้ไม่สามารถจูงใจให้สังคมภายนอกเชื่อได้มากนัก
ผู้ที่สนใจการเมืองจีนล้วนเห็นตรงกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือภาพสะท้อนถึงความขัดแย้งภายในพรรค ซึ่งผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามที่จะปกปิดด้วยการซ่อนไว้ใต้พรม

การกระชับอำนาจในพรรค
การพาอดีตผู้นำอาวุโสของพรรคฯ ออกจากการประชุมอย่างที่ไม่ต้องแคร์กับสายตาชาวโลก จึงเป็นการสร้างภาพให้เห็นความเป็น “ผู้นำที่เข้มแข็ง” หรือ “Strong Man” ในการเมืองจีน ที่สามารถจัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเด็ดขาด
อีกทั้งยังเป็นสัญญาณถึงกลุ่มต่อต้านเขาภายในรัฐบาลอีกด้วย
หรืออีกนัยหนึ่งคือ กลุ่มสี จิ้นผิง ยังสามารถควบคุมการยึดอำนาจภายในพรรคฯ และทำให้การโค่นล้มเขาภายในพรรคฯ เป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้สัญญาณของการกระชับอำนาจทั้งภายในพรรคฯ และภายในรัฐบาล ยังเห็นได้จากการแต่งตั้งคณะกรรมการประจำใหม่บางส่วน ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่ากรรมการใหม่เหล่านี้ล้วนเป็นคนในปีกของสี จิ้นผิง ทั้งสิ้น
และในอีกส่วนคือการเปลี่ยน “นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง” ออกไป เพราะเขามีมุมมองทางเศรษฐกิจที่แตกต่างออกไปจากประธานาธิบดี อีกทั้งความเห็นต่างในนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” (Zero-Covid Policy)

การเปลี่ยนตัวเช่นนี้จึงทำให้จีนได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ “นายหลี่ เฉียง” ซึ่งเป็นคนในสายของประธานาธิบดี
– ทิศทางนโยบาย :
คณะกรรมการประจำพรรคชุดใหม่ของจีนในเชิงตัวบุคคลทั้งหมดคือคำยืนยันว่านโยบายใหม่ของจีนจะยังคงเดินไปในแนวทางเดิม
หรืออีกนัยหนึ่งคือจะไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายของจีน และนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” จะยังคงใช้ต่อไป แม้จะมีความเห็นแย้งในสังคมและในหมู่นักลงทุนเช่นไรก็ตาม
ซึ่งกลุ่มนักธุรกิจและนักลงทุนทั้งภายนอกและภายในยังหวังว่า รัฐบาลจีนจะปรับและ/หรือยกเลิกนโยบายดังกล่าว เพื่อลดแรงกดดันภายในสังคม และทำให้สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้
อีกทั้งการจัดการโควิด-19 สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจในการควบคุมทางสังคมอย่างเข้มงวดด้วยระบบกล้องติดตาม รวมถึงการควบคุมการสื่อสารในอินเตอร์เน็ตมากขึ้น
– นโยบายเศรษฐกิจ :
สิ่งเหล่านี้ในอีกด้านจึงเป็นการบ่งบอกถึงการรวมศูนย์อำนาจทางการเมืองที่มากขึ้นของผู้นำจีน และมีนัยว่าเศรษฐกิจจีนจะมีลักษณะของ “การควบคุมโดยรัฐ” มากขึ้นเช่นกัน (คือเป็น state-controlled economy) หรืออาจเรียกในทางทฤษฎีว่าเป็น “ทุนนิยมโดยรัฐ” ในแบบจีน อันส่งผลให้การควบคุมดูแลเศรษฐกิจภาคเอกชนมีมากขึ้น
ดังจะเห็นได้ถึงสัดส่วนของธุรกิจภาคเอกชนลดลงในโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนยุคปัจจุบัน อันทำให้ภาคเอกชนจากภายนอกที่ต้องการลงทุนในจีนมีความกังวลต่อการควบคุมโดยรัฐ
อีกทั้งเศรษฐกิจจีนยังได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งสหรัฐกับจีนด้วย
– นโยบายฟื้นฟูชาติ :
นโยบายสำคัญของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คือ การสร้าง “ยุคทองของจีน” ให้กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หรือการประกาศนโยบาย “การฟื้นฟูชาติจีนครั้งใหญ่” (The Great Rejuvenation of the Chinese Nation) และถือว่าสิ่งนี้เป็น “ภารกิจดั้งเดิม” ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนับตั้งแต่ได้อำนาจรัฐมาในปี 1949 อันเป็นแนวคิดที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เน้นย้ำมาโดยตลอด ทั้งยังสอดรับกับกระแสชาตินิยมภายในจีนเองอีกด้วย
การสร้างกระแสชาตินิยมภายใต้ชุดความคิดแบบ “การฟื้นฟูชาติ” ดูจะไม่แตกต่างจากชุดความคิดแบบสร้าง “อเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” ของประธานาธิบดีทรัมป์ ในอีกด้านคือการฟื้นฟูและดำรงบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้เป็นผู้นำทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
– นโยบายการทหาร :
นโยบายสำคัญอีกส่วนคือ การสร้างความเข้มแข็งทางทหารของจีน ดังที่เขาเรียกร้องให้มีการ “พัฒนาทางทหารที่เร็วมากขึ้น” (faster military development) เพื่อนำไปสู่การขยายขีดความสามารถทางยุทธศาสตร์ของกองทัพจีนในเวทีโลก ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้ทำให้นักสังเกตการณ์กังวลกับปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียในอนาคต ดังเช่นที่เห็นจากกรณีการปิดล้อมไต้หวัน และจีนไม่ปฏิเสธต่อการใช้กำลังในการรวมไต้หวัน
ผลของการขยายอำนาจเช่นนี้ย่อมทำให้การแข่งขันทางทหารระหว่างสหรัฐกับจีนในเอเชียมีความเข้มข้นขึ้น และส่งผลกระทบต่อบรรดารัฐเพื่อนบ้านในเอเชีย ที่บางส่วนมองว่าจีนเป็นภัยคุกคาม
– นโยบายเทคโนโลยี :
รัฐบาลจีนพยายามใช้นโยบายพึ่งพาตนเองและสร้างความเข้มแข็งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และลดการพึ่งพาตะวันตกและญี่ปุ่นในเรื่องนี้ แต่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนได้ส่งผลกระทบอย่างมากกับการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน
ซึ่งปัญหาการแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างสองมหาอำนาจจะเข้มข้นมากขึ้น และอาจทำให้รัฐจีนขยายบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีมากขึ้น
ความท้าทายในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีทั้งประเด็นภายนอกและภายใน
เช่น ปัญหาสิทธิมนุษยชน (โดยเฉพาะในกรณีซินเกียงและฮ่องกง)
ปัญหาการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองภายใน
ปัญหาการฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนในยุค “โควิดเป็นศูนย์”
ปัญหาหนี้สินในภาคอสังหาริมทรัพย์
ปัญหาการแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา
ปัญหาการวางจุดยืนในสงครามยูเครน
และประเด็นสำคัญคือ ปัญหาแรงเสียดทานภายในพรรคคอมมิวนิสต์ รวมทั้งกระแสต่อต้านรัฐบาลในสังคมจีน
การกระชับอำนาจในเทอมที่ 3 ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทำให้เขากลายเป็น “ผู้นำตลอดกาล” อย่างแท้จริง
ดังนั้น จึงต้องจับตามองทั้งบทบาทของจีนในเวทีระหว่างประเทศ และมองการกวาดล้างทางการเมืองภายในที่อาจจะเกิดตามมาในอนาคตอีกด้วย!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022