ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
‘สี จิ้นผิง’ กับการวางหมาก
คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ
เปิดหน้าให้เห็นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับการปรับโครงสร้างอำนาจใหม่ภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ที่จัดขึ้นทุกๆ 5 ปี ในครั้งที่ 20 นี้ ซึ่งทั่วโลกต่างจับจ้องให้ความสนใจ ได้ปิดฉากลงไปเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน
ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายว่า “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีของจีน ในวัย 69 ปี สามารถกระชับอำนาจไว้ในมือได้ต่อไปและเป็นไปอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างที่ไม่เคยมีผู้นำจีนคนใดทำได้มาก่อนนับจากประธานเหมา เจ๋อตุง ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน
โดยสี จิ้นผิง ยังคงได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกลางชุดใหม่ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และยังรักษาตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลาง ซึ่งมีอำนาจควบคุมกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ) หนึ่งในกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลกต่อไปด้วย
นั่นเป็นเครื่องการันตีว่า สี จิ้นผิง ยังจะรักษาเก้าอี้ประธานาธิบดีจีนต่อเนื่องเป็นสมัย 3 ได้ ในระหว่างการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (เอ็นพีซี) ที่จะมีขึ้นในเดือนมีนาคมปีหน้า ที่ถือเป็นการแหวกธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยมีมาที่ผู้นำจีนจะอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 2 สมัยหรือ 2 วาระ ที่มีวาระละ 5 ปีเท่านั้น
นั่นมีขึ้นหลังจากที่สี จิ้นผิง ได้ฉีกรัฐธรรมนูญที่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของผู้นำจีนทิ้งไปในปี 2018 ซึ่งเปิดทางให้ตัวเขาสานความปรารถนาของตนเองได้เป็นผลสำเร็จในการอยู่ในอำนาจต่อและกลายเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของจีนนับจากเหมา เจ๋อตุง
นอกจากนี้ เรายังได้เห็นสมาชิก คณะกรรมการกรมการเมือง หรือคณะโปลิตบูโร ซึ่งเป็นคณะผู้บริหารชุดใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีสมาชิกรวม 25 คน และโฉมหน้าของสมาชิกคณะกรรมการถาวรโปลิตบูโร ที่มีทั้งสิ้น 7 คน อันเป็นคณะผู้กำหนดนโยบายคุมทิศทางประเทศและมีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของจีน แน่นอนว่าย่อมมีชื่อสี จิ้นผิง รวมอยู่ด้วย ส่วนสมาชิกอีก 6 คนที่เหลือล้วนเป็นพันธมิตรใกล้ชิดและเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีเป็นที่ไว้วางใจได้ของนายสีทั้งสิ้น
โดย 6 คีย์แมนสำคัญในคณะกรรมการถาวรโปลิตบูโรที่นายสีเปิดตัวออกมา ประกอบด้วย
หลี่ เฉียง อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเซี่ยงไฮ้ ที่ได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นผู้นำเบอร์ 2 ของพรรค
จ้าว เล่อจี้ มือปราบทุจริต และหวัง ฮู่หนิง กุนซือวางยุทธศาสตร์สำคัญ สองคนนี้ได้รับเลือกให้นั่งอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้ต่อไป โดยยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้นำเบอร์ 3 และเบอร์ 4 ของพรรคอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมี ไช่ ฉี เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำปักกิ่ง, ติง เซวียเสียง สมาชิกคณะโปลิตบูโรและเป็นเลขานุการส่วนตัวของนายสี และหลี่ ซี เลขาธิการพรรคประจำมณฑลกวางตุ้ง ที่ถูกระบุว่าเป็นคนสนิทที่ไว้ใจได้อีกคนของนายสี
นี่สะท้อนให้เห็นความพยายามของนายสีที่จะรวบอำนาจสูงสุดไว้ในมือแต่เพียงผู้เดียวที่ไม่ได้เห็นในหลายทศวรรษที่ผ่านมาของจีน
ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่ายุคของสี จิ้นผิง พลิกกลับไปสู่ยุคผู้นำเผด็จการอำนาจเบ็ดเสร็จ ต่างไปจากผู้นำจีนก่อนหน้านี้อย่างสมัยอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ที่โครงสร้างอำนาจยังเป็นแบบการนำร่วมของคณะผู้นำ
การปรับเปลี่ยนคณะกรรมการถาวรโปลิตบูโรครั้งนี้ภายใต้การกุมบังเหียนของสี จิ้นผิง ยังสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีที่ว่างให้กับกลุ่มแนวทางสายกลางและหัวปฏิรูป
เห็นได้จากที่ไม่มีชื่อของ นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรี และนายหวัง หยาง ประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งประชาชนจีน (ซีพีพีซีซี) ร่วมอยู่ในคณะทำงานชุดนี้ด้วย โดยถูกระบุว่าทั้งสองจะเกษียณลงจากตำแหน่งไปทั้งที่อายุยังไม่ถึง 68 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์วัยเกษียณที่ตั้งไว้อย่างไม่เป็นทางการของจีน
รวมถึงไม่มีชื่อของหู ชุนฮัว รองนายรัฐมนตรี วัย 59 ปี ที่เป็นคนในวงในของหลี่ เค่อเฉียง และอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ผู้มีใจปฏิรูป ซึ่งก่อนหน้านี้ หู ชุนฮัว เคยถูกจับตาว่ามีแนวโน้มเป็นตัวเก็งคนหนึ่งที่จะก้าวขึ้นมาช่วงชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุด
นอกจากนี้ แม้การประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะปิดฉากลงไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีการวางตัวทายาทรุ่นใหม่สืบทอดอำนาจต่อจากนายสีแต่อย่างใด
เป็นอีกสัญญาณบ่งชี้ชัดเจนว่าสี จิ้นผิง ยังไม่มีแผนที่จะลงจากอำนาจในเร็ววันหลังจากอยู่ในตำแหน่งครบสมัยที่ 3 แล้วก็ตาม
เฉิน กัง ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันเอเชียตะวันออกประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ มองว่า การกำจัดคู่แข่งและการวางตัวคนสนิทใกล้ชิดที่ไว้วางใจได้บนหมากแห่งอำนาจที่นายสีกำหนดไว้เช่นนี้ เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในคณะผู้กำหนดนโยบายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกแห่งนี้ นี่ไม่ใช่การแบ่งปันอำนาจหรือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันระหว่างกลุ่มต่างๆ แต่เป็นผลที่ตามมาจากการกระชับอำนาจของสี จิ้นผิง
เฉิน กัง บอกด้วยอีกว่า เราได้เข้าสู่ยุคใหม่ที่สี จิ้นผิง ควบคุมอำนาจเกือบทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจ เรากำลังเห็นระบบราชการแบบรวมศูนย์อำนาจในจีนที่จะมีผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายเศรษฐกิจและด้านการต่างประเทศของจีนในอนาคตอย่างแน่นอน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนมองไปในทิศทางเดียวกันว่าการตั้งคนที่จงรักภักดีไว้ใจได้ของนายสีจะกลายเป็นดาบสองคม เพราะจะเต็มไปคนที่ได้แต่เห็นพ้องโอนอ่อนตามรายล้อมอยู่เต็มไปหมด ที่จะไร้ซึ่งการตรวจสอบและถ่วงดุลในการทำงาน
หากดำเนินนโยบายใดที่เพลี่ยงพล้ำผิดพลาด นายสีเองก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความผิดพลาดนั้นไปแต่เพียงผู้เดียว
จากนี้คงต้องจับตาดูความเป็นไปของจีนภายใต้การกุมบังเหียนของสี จิ้นผิง ที่มีอำนาจล้นมือมากกว่าเดิมว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022