พรรคก้าวไกลใช้นโยบายนำหน้า พรรคที่ช้าจะเสียเปรียบ…

มุกดา สุวรรณชาติ

แม้การเลือกตั้งจะยังไม่ชัดเจน แต่ประเมินกันว่าน่าจะเป็นต้นปี 2566 มี ส.ส.เขตจำนวน 400 คน และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อีก 100 คน

ถ้าการเลือกตั้งเป็นแบบบัตร 2 ใบ และใช้ 100 หารเพื่อหาปาร์ตี้ลิสต์ ตามที่มีการเสนอแก้กฎหมายการเลือกตั้ง หมายความว่าพรรคการเมืองจะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คนจะต้องมีคนมาลงคะแนนเสียงให้พรรคการเมืองนั้นประมาณ 350,000 คะแนน

ในขณะที่ ส.ส.เขตที่ชนะเลือกตั้ง 1 คนจะมีคะแนนอยู่ที่ประมาณ 30,000-50,000 คะแนนเท่านั้น การหา ส.ส.จากเขตจึงง่ายกว่าปาร์ตี้ลิสต์

สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้คือพรรคการเมืองขนาดใหญ่กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อชนะใน 400 เขตโดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ เริ่มต้นจากการแย่งชิงตัวผู้สมัครที่เป็นตัวเต็งในแต่ละเขต ในสภาพที่สภาจะครบวาระ 4 ปี จึงมีการเตรียมโยกย้ายสังกัดพรรคการเมือง ข่าวการย้ายพรรคย้ายค่ายมีขึ้นแทบทุกวัน

Photo by Jonathan KLEIN / AFP

พรรคใหม่และพรรคเล็กก็อาจต้องรวมกัน
พรรคก้าวไกลหวังจะได้ปาร์ตี้ลิสต์จำนวนมาก

ในการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวปี 2562 พรรคก้าวไกลซึ่งครั้งนั้นใช้ชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนเสียงประมาณ 17.8 เปอร์เซ็นต์ และได้จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 50 คน จากจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมด 150 คน

แต่ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ ถ้าหากพรรคก้าวไกลได้คะแนน 18 เปอร์เซ็นต์ คิดคะแนนแบบบัตร 2 ใบ เอา 100 หาร ก็จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพียง 18 คนเท่านั้น

ในทางยุทธศาสตร์พรรคก้าวไกลไม่ได้ใช้วิธีช่วงชิง ส.ส.เก่าที่มีอิทธิพลในพื้นที่ ดังนั้น โอกาสที่จะชนะตามเขตต่างๆ โดยเสนอตัวบุคคลที่มีชื่อเสียงในพื้นที่เข้าไปแข่งจึงมีไม่มาก

ด้วยเหตุนี้ยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลจึงจะต้องเน้นไปที่ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และจะต้องหาทางทำคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ให้ได้สูงถึง 25% ขึ้นไป

นั่นหมายถึงว่าพรรคก้าวไกลจะต้องมีนโยบายทีเด็ดที่จะดึงคนมาลงคะแนน

ว่ากันตามจริงโดยชื่อชั้นของพรรคก้าวไกลในยุคนี้ก็เด่นมากพอสมควร เขตไหนถ้าได้คนเด่นและมีกำลังพร้อมก็มีโอกาสชนะการเลือกตั้งได้ ส.ส.เขต แต่เขตที่คู่แข่งเข้มแข็งมากมีอิทธิพลสูงในท้องถิ่น แม้พรรคก้าวไกลจะมีคะแนนเพิ่มขึ้น แต่ถ้าคะแนนเป็นแค่ที่สองในเขตก็ยังไม่ได้ ส.ส.เขตอยู่ดี

การเสนอนโยบายของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งใหม่ จึงเป็นอาวุธหลัก แม้บางคนจะมองว่าแรงเกินไปหรือไม่? ก้าวหน้ามากไปจนคนทั่วไปจะรับได้หรือไม่?

แต่พรรคก้าวไกลก็ยอมเสี่ยงเพราะประเมินว่ากลุ่มคนที่ล้าหลังไม่เลือกพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว สิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอจึงเป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ได้จริง (ถ้าได้ทำ) ใครเห็นด้วยก็เลือกไม่เห็นด้วยก็ไปเลือกพรรคอื่น

เสนอนโยบายที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

พรรคก้าวไกลเปิดชุดนโยบายแรก โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชุดนโยบายเหล่านี้ มีเป้าหมายคือการสร้างประเทศไทยที่ก้าวหน้าใน 9 ประเด็น คือ การเมืองไทยก้าวหน้า ราชการไทยก้าวหน้า ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า เศรษฐกิจไทยก้าวหน้า เกษตรไทยก้าวหน้า สวัสดิการไทยก้าวหน้า การศึกษาไทยก้าวหน้า สุขภาพไทยก้าวหน้า และสิ่งแวดล้อมไทยก้าวหน้า โดยทั้งหมดอยู่บนฐานคิดเดียวกัน คือประเทศไทยเป็นของประชาชน

วิเคราะห์จากชุดนโยบายที่ออกตัวแรง ก็พอมองเห็นยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกลว่าจะใช้นโยบายเป็นตัวชูโรง ไม่ใช้ตัวบุคคลเพราะช่วงเวลานี้ตัวบุคคลของก้าวไกลก็มีตัวเด่นไม่กี่คน ตัวเด็ดๆ แบบธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และอาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล ก็ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปแล้ว การใช้นโยบายที่คิดว่าประชาชนจะถูกใจก็ถือว่าเป็นการเหมาะสมกับสถานการณ์และเป็นช่วงเวลาที่จำเป็นต้องแลกหมัด

สำหรับนโยบายการเมืองไทยก้าวหน้าที่พรรคก้าวไกล ถือว่าแรงพอควร และไม่กลัวจะปะทะกับกลุ่มที่มีความคิดอนุรักษนิยม นโยบายเหล่านี้จะมีทั้งคนต้านและคนสนับสนุน

ประกอบด้วย 4 หัวข้อหลัก คือ ทหารของประชาชน ศาลของประชาชน คนเท่ากัน และรัฐธรรมนูญใหม่ปลดล็อกประเทศไทย

Photo by SAEED KHAN / AFP

1.นโยบายปฏิรูปกองทัพ

เนื้อหาสำคัญที่จะได้คะแนนในการเลือกตั้งอยู่ที่การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร

ห้ามนายพลเกษียณอายุเป็นรัฐมนตรีจนกว่าจะเกษียณครบ 7 ปี

เพื่อตัดวงจรการใช้อำนาจเส้นสายระบบอุปถัมภ์ของกองทัพมาสู่อำนาจทางการเมือง

พรรคก้าวไกลยังมีนโยบาย ยุบ กอ.รมน. เพราะเห็นว่าเป็นหน่วยงานที่ใช้อำนาจล้นเกิน

ก้าวก่ายกิจการราชการพลเรือน และในขณะเดียวกัน ก็ยกเลิกกฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดน

นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังจะจัดการให้กองทัพคืนธุรกิจของกองทัพ ทั้งสนามกอล์ฟ โรงแรม ม้า มวย ให้กับรัฐบาล รวมถึงคืนที่ดินของกองทัพที่มีอยู่มากมายทั่วประเทศ ให้มาเป็นที่ทำกินของประชาชน แล้วให้ท้องถิ่นนำมาใช้ประโยชน์ เช่น ทำสนามกีฬาหรือลานอเนกประสงค์ อันนี้กระทบผลประโยชน์

Photo by Jack TAYLOR / AFP

2.นโยบายด้านศาลและกระบวนการยุติธรรม

เนื้อหาที่เป็นประเด็นการเมืองและจะทำให้เกิดผลได้-เสียคือแก้ไขกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ได้แก่ กฎหมายอาญามาตรา 112, มาตรา 116, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งพรรคก้าวไกลได้เสนอแก้ไขไปที่การแก้ 112 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่ได้กระทบต่อพระราชสถานะองค์พระมหากษัตริย์ ในฐานะประมุขของประเทศ

การปฏิรูปศาลให้ยึดโยงรับใช้ประชาชน ให้ผู้พิพากษาต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน

เสนอรัฐบาลไทยให้สัตยาบันรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC เพื่อชำระสะสางคดีอาชญากรรมที่รัฐกระทำต่อประชาชน

เสนอให้มีการนิรโทษกรรมคดีการเมือง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา เพื่อคืนความเป็นธรรมและอนาคตให้กับประชาชนที่ต้องคดีการเมืองเพียงเพราะแสดงความเห็นต่าง และวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน

เพื่อให้คนเท่ากัน พรรคก้าวไกลยังจะเสนอให้พระสามารถเลือกตั้งได้เช่นเดียวกับนักบวชศาสนาอื่น เนื่องจากพระก็ยังต้องไปเกณฑ์ทหาร ยังต้องอยู่ใต้กฎหมาย แต่กลับต้องถูกยกเว้นไม่ได้รับสิทธิ์ในการเลือกตั้ง

เรื่องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องเป็นไปโดยตัวแทนของประชาชน โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงจากประชาชน… อันนี้คงคล้ายๆ พรรคอื่น

และเสนอว่ารัฐธรรมนูญใหม่ยังจะต้องปลดล็อกท้องถิ่นใน 3 เรื่อง คือ ปลดล็อกอำนาจ ให้ท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดการบริการสาธารณะทั้งหมดในพื้นที่ ปลดล็อกงบประมาณ ให้ท้องถิ่นมีเงินเพียงพอในการแก้ไขปัญหาของประชาชนในพื้นที่

ที่สำคัญที่สุดคือ การปลดล็อกทุกจังหวัด ให้ผู้บริหารสูงสุดของทุกจังหวัดมาจากการเลือกตั้ง อันนี้กระทบอำนาจมหาดไทย แต่อาจมีบางพรรคเสนอแบบเดียวกัน

Photo by PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP

พรรคอื่นๆ ยังไม่เสนอนโยบาย
เน้นชิง ส.ส.เก่า

พรรคไทยรักไทยเคยชนะเลือกตั้งเพราะเสนอนโยบายที่ถูกใจประชาชนมาแล้ว

แต่ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดปี 2562 ที่ใช้ชื่อพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตยก็แทบไม่ได้เสนอนโยบายอะไรใหม่ที่จะดึงดูดประชาชน

การเลือกตั้งครั้งหน้าถ้าจะใช้ความเด่นของผู้สมัครอย่างเดียวจะดึงคะแนนประชาชนฝ่ายก้าวหน้าไม่ได้

ที่จริงเพื่อไทยได้เปรียบตรงที่ว่าเสนอนโยบายแล้วคนเชื่อว่าทำได้จริง แต่ถ้าเป็นพลังประชารัฐ คนคงไม่เชื่อเพราะที่ผ่านมาไม่ทำตามนโยบาย ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยก็ยังเงียบ

ยุทธศาสตร์ที่จะใช้หัวคะแนนและเงิน เที่ยวนี้อาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะมีคนทำหลายกลุ่ม ชาวบ้านรับทุกเบอร์ แต่ลงได้เบอร์เดียว เมื่อแบ่งคะแนนออกไปทำให้สอบตกและเสียเงิน

การเสนอนโยบาย คนเสนอก่อนไม่ได้เสียเปรียบอะไร แต่คนเสนอทีหลัง จะกลายเป็นลอกเลียนแบบ นโยบายที่ดีผ่านหูผ่านตา ผ่านการถกเถียง 3-4 เดือน อาจสร้างกระแส จนกลายเป็นคะแนนได้

อย่าไปกังวลกับหัวคะแนนที่ถามว่า พรรคนี้มีนโยบายเท่าไร? 500 หรือ 1,000