ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | My Country Thailand |
ผู้เขียน | ณัฐพล ใจจริง |
เผยแพร่ |
My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง
‘ฉันเห็นอุทกภัยสองครั้ง’
: มองน้ำท่วม 2485 ผ่านสายตาจอมพล ป.พิบูลสงคราม (3)
นับแต่กระแสน้ำจากทางเหนือค่อยๆ ไหลบ่าลงมาทางใต้ จากเดือนกันยายนเป็นต้นมานั้น น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและตามลำคลองในพระนครและธนบุรีเริ่มปริ่มตลิ่ง พื้นที่ลุ่มต่ำน้ำเริ่มท่วม และเมื่อน้ำจากทางเหนือไหลบ่ามาถึงทุ่งรังสิต ปทุมธานีตั้งแต่ช่วงกลางกันยายน รัฐบาล-กรมชลประทานประกาศเตือนประชาชนให้เก็บข้าวของหนีน้ำ (ศรศัลย์, 96)
พื้นที่ใต้นครสวรรค์ลงมายังสิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ปทุมธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี นนทบุรี อันเป็นที่ราบลุ่มภาคกลางที่อยู่เหนือพระนครขึ้นไป รวมทั้งพื้นที่สวนริมสองฝั่งเจ้าพระยาได้กลายเป็นพื้นที่รับกระแสน้ำที่ไหลบ่าลงมาจากภาคเหนือและน้ำที่เอ่อขึ้นล้นตลิ่งริมน้ำเจ้าพระยาจนเจิ่งนองไปทั่ว กินบริเวณกว้างขวาง
สร้างความเสียหายให้กับนาข้าว สวนผลไม้ และสวนผักอย่างมาก
ตรวจน้ำท่วมกับจอมพล ป.
ผู้นำรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม ออกตรวจราชการปัญหาอุทกภัยที่ดอนเมืองด้วยเรือ เมื่อ 27 กันยายน 2485 บันทึกไว้ว่า
เขาเห็นพี่น้องชาวนานำควายมาเลี้ยงรวมกันบนที่แห้งตรงวงเวียนดอนเมือง มีการจัดคนเฝ้าจำนวนน้อยแต่มีควายที่ต้องดูแลจำนวนมากได้อย่างไร เขาสอบถามชาวนาและได้คำตอบว่า ชาวนาช่วยกันเลี้ยง ผลัดเวรกันเฝ้ายาม เขาเห็นว่า นี่เป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันที่น่านับถือน้ำใจอย่างยิ่ง (สามัคคีไทย, 31)
เมื่อเรือของเขาแล่นเข้าสู่ทุ่งรังสิต ปทุมธานี ภาพที่เขาเห็นนั้น เป็นทุ่งน้ำเวิ้งว้างดุจทะเล มีระดับน้ำลึกถึง 2 เมตร จนสามารถแล่นเรือข้ามถนนไปได้ เขาพบ ชาวนาตัดต้นตาลมาทำพื้นพาด ผักตบชวาทำแพที่พักกลางน้ำจึงแวะถามไถ่ชาวนา ชาวนา “แทบทุกแห่งร้องว่า เต็มที่แล้วครับ น้ำท่วมบ้าน ท่วมนา ข้าวไม่มีกิน” เขาเศร้าใจยิ่ง และพรุ่งนี้ ทางจังหวัดจะเอาอาหารมาแจกจ่าย รัฐบาลได้เตรียมการความช่วยเหลือแล้ว รอเพียงน้ำลดลง เขาเศร้าใจมากและเปรียบว่า
“แม้นฉันมีวาสนารับคฑาจอมพล ก็ไม่ดีใจเท่าเห็นน้ำลดหย่างวันนี้” (13 ตุลาคม 2485) (72-73)
สภาพน้ำท่วมในเขตชนบทที่เขาพบเห็นนั้น เขาบันทึกว่า ชาวนาผู้เป็นกำลัง และเป็นสันหลังของชาติ แต่ปรากฏว่า พี่น้องร่วมชาติเหล่านี้ บ้านไม่มีอยู่ ข้าวจะไม่มีกิน เงินก็ไม่ใคร่มีเสียด้วย ไปไหนต้องว่ายน้ำ เพราะเรือไม่มี ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก (30-31)
หลังจากกลับจากการตรวจราชการน้ำท่วม เขาใช้เงินส่วนตัวซื้อข้าวสารแจกประชาชน โดยตั้งเต็นท์แจกที่เชิงสะพานมัฆวานฯ มีรายงานข่าวว่า ประชาชนที่เดือดร้อนมาเข้าแถวมารับแจกข้าวสารวันละหลายร้อยคน ปริมาณข้าวสารแจกไปวันละหลายพันลิตร (ศรีกรุง, 15 ตุลาคม 2485)
เยี่ยมชาวสวน
การตรวจราชการทางเรือในคราวน้ำท่วมครั้งนั้น เขาได้แวะเข้าไปในคลองบางเขนและบันทึกว่า
“ฉันเลยถือโอกาสไปเยี่ยมชาวสวนที่คลองบางเขน ชาวสวนก็ได้รับความกระทบกระเทือนใจมากเหมือนกัน ตลอดทางที่ฉันไป ต้นทุเรียน ต้นขนุน ส้ม กล้วยใบแห้ง ใบแดง ใบร่วงตามๆ กันไปหมด บางบ้านร้องบอกแก่ฉันว่า ลำบากยากจนกันเต็มทีแล้ว”
เมื่อฉันได้ยินได้ฟังความทุกข์ของชาวสวนแล้ว
“ฉันไม่ซาบจะตอบหย่างไรดี นอกจากร้องตอบไปว่า น้ำลดแล้ว ไห้คอยฟังทางรัถบาล ท่านคงจะบอกให้ท่านทำอะไรต่อไป ขอคุนพระไห้ช่วยไห้มีสุขในเวลาอันไกล้เถิด พอพูดเท่านั้นบางคนยกมือไหว้ฉัน ฉันก็ไหว้ตอบ” (79-80)
ตรวจน้ำท่วมย่านการค้า
ร้านค้าในเขตเมืองยังคงมีการค้าขายตามปกติ ร้านรวงต่างๆ ยังคงเปิดจำหน่ายสินค้าให้ลูกค้า ดังมีผู้บันทึกไว้ว่า “ฉันต้อง ล่องลงน้ำ โดยเรือสำ ปั้นพาย ใจวาบหวาม พาลอยไป ในถนน วกวนตาม แถวถนน ดลข้าม เฟื่องนคร…น่าขอบใจ ในพวก ทำการค้า ต่างค้าขาย เปิดร้านร่า ไม่หมางเมิน ดูก็เพลิน พวกเขาเรา เอาจริงจัง…” (พระยาอรรถศาสตร์ฯ, 39)
นายกฯ บันทึกการตรวจน้ำท่วมในย่านการค้าใจกลางเมืองเมื่อต้นตุลาคมว่า “เวลานี้ น้ำในกรุงเทพฯ ธนบุรี ขึ้นมาเต็มที่ และไปทางไหนมีแต่น้ำ ฉันมีโอกาสลงเรือเล็กไปดูตามห้องแถว ตึกแถวหลายแห่งในพระนคร รู้สึกกลุ้มใจแทนเจ้าของบ้านเหล่านี้เสียจริงๆ ดึกถึง 4-5 ทุ่ม พี่น้องเหล่านั้นยังนั่งสาละวนแต่กั้นน้ำ บ้างยกพื้นวิดน้ำ ขนของหนีน้ำ ดูน่าเหนื่อยแทน…ฝนตกลงมาเติมอีก ฝนที่ตกมานี้ ดูเพิ่มแรงขึ้นเพราะน้ำท่วมอยู่แล้ว ก็ยังตกลงมาอีก…เม็ดฝนช่างโตเสียจริงๆ…” (55)
สภาพน้ำท่วมในพระนคร ไม่ลดระดับลง เนื่องจากระดับทะเลยังคงหนุนน้ำเข้าเจ้าพระยาสม่ำเสมอ ดังนั้น เขาบันทึกว่า
“เมื่อ 13 ตุลาคม 2485 ช่วงเช้ามืด เขาดีไจเพราะสังเกตว่า ระดับน้ำลดลงมาก แต่ต่อมาในตอนสายๆ ระดับน้ำขึ้นสูงท่วมบ้านอีก เขาเห็นว่าที่ผ่านมา บางวัน ระดับน้ำก็ลดลง ที่อย่างไม่น่าเชื่อ แต่พอตอนสายขึ้นมาเท่าเดิมเสมอ เขาเห็นว่า หากเป็นดั่งนี้ อีกสักเดือนเห็นจะไม่ดีแน่” (95)
ความช่วยเหลือจากรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีสั่งการให้แจกอาหารประชาชนตามจังหวัดต่างๆ โดยมอบหมายให้นายจิตตเสน ปัญจะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดำเนินการแจกข้าวสาร 240 กระสอบ รัฐบาลจัดหน่วยเรือบรรเทาทุกข์ออกไปช่วยเหลือประชาชนยังนครสวรรค์ ตลิ่งชัน หนองจอก แจกยารักษาโรค อาหารและเครื่องนุ่งห่ม (ศรีกรุง, 14 ตุลาคม 2485)
แนวทางความช่วยเหลือจากรัฐบาลขณะนั้น คือ
1. ช่วยย้ายผู้อยู่ในน้ำขึ้นบก
2. ตั้งงบประมาณช่วยหาอาหารและเครื่องแต่งกายให้ราษฎรที่ถูกน้ำท่วม และหวังว่า คงจะได้บอกบุญแก่พี่น้องที่ไม่ต้องสู้กับอุทกภัยตามศรัทธา
3. เตรียมซื้อข้าวตุนไว้จำหน่ายจ่ายแจกและทำพันธุ์ตามฐานะของผู้ต้องอุทกภัย และกักข้าวไม่ส่งไปนอกในเวลาอันควร
4. เมื่อน้ำลด เตรียมให้ราษฎรทำไร่เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ตามแต่จะทำได้ สุดแต่ท้องถิ่น
5. ให้รัฐมนตรีและอธิบดีทุกท่าน คิดช่วยราษฎรผู้ต้องอุทกภัยตามหน้าที่
6. ให้ข้าหลวง นายอำเภอ คณะกรรมการจังหวัด อำเภอได้ช่วยราษฎรที่อยู่ในน้ำ ขึ้นบกและจัดการเรื่องอาหารการกินตลอดจนที่อยู่ (34-35) โดยรัฐบาลจัดงบประมาณให้กระทรวงเกษตราธิการ จัดซื้อเมล็ดพันธุ์พืชมูลค่าสองแสนหน้าหมื่นบาท (66)
ภายหลังที่นายกรัฐมนตรีออกตรวจราชการน้ำท่วม เห็นความทุกข์ยากของประชาชนแล้ว เขาบริจาคเงินส่วนตัวซื้อข้าวสารแจกที่เต็นท์เชิงสะพานมัฆวานฯ มีคนมารับแจกข้าววันละหลายร้อยคน แจกไปวันละหลายพันลิตร (ศรีกรุง, 15 ตุลาคม 2485)
ส่วนเทศบาลกรุงเทพนั้นเปิดสุขศาลา 3 แห่งรับรักษาพยาบาลให้แก่ประชาชนเวลาค่ำคืน ที่สุขศาลาบางรัก สุขศาลาเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ สุขศาลาจันทร์ฉิมไพบูลย์ เพื่อรักษาโรคท้องร่วง ปวดท้อง (ศรีกรุง, 15 ตุลาคม 2485)
กล่าวโดยสรุป ผู้นำรัฐบาลในสมัยประชาธิปไตยได้ออกตรวจราชการด้วยตนเองเพื่อเห็นสภาพความทุกข์ยากของประชาชนนำไปสู่การกำหนดนโยบายและมาตรการให้ความข่วยเหลือประชาชนตามระบอบที่ยึดถือประชาชนเป็นหัวใจของการปกครองในครั้งนั้น
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022