ฉันทานุมัติชกศรีสุวรรณ : อวสานมาเยือนระบอบประยุทธ์ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/

 

ฉันทานุมัติชกศรีสุวรรณ

: อวสานมาเยือนระบอบประยุทธ์

 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหมัดขวาที่ฮุกเข้าใบหน้าคุณศรีสุวรรณ จรรยา กลายเป็นหมัดขวาที่สร้างความสะใจให้คนทั้งประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น ความสะใจที่คุณศรีสุวรรณโดนชกมีมากจนทำให้ทุกคนแสดงออกว่าเชียร์การชกอย่างเปิดเผย รวมทั้งมีการบริจาคเงินให้คนที่ลงมือชกคุณศรีสุวรรณด้วยซ้ำ

ยังไม่มีคำแถลงจากลุงที่ชกศรีสุวรรณว่าได้เงินบริจาคขนาดไหน สายแซะบางคนบอกว่าได้มากกว่าเงินบริจาคช่วยโตโน่ว่ายข้ามโขง แต่ในเมื่อทั้งโตโน่และลุงไม่เคยบอกเรื่องเงิน จึงไม่มีอะไรพิสูจน์ข่าวนี้ได้

ประเด็นนี้จึงเป็นหนึ่งในข่าวที่เล่นเพื่อเยาะเย้ยการที่ศรีสุวรรณถูกชกกลางวงสื่อเท่านั้นเอง

การชกศรีสุวรรณเป็นความรุนแรงแน่ๆ ต่อให้จะมีการอ้างว่าศรีสุวรรณใช้ “ความรุนแรงทางกฎหมาย” ในการฟ้องคนเห็นต่างจากรัฐบาลจนสร้างความเดือดร้อนไปหมด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการชกไม่ใช่ความรุนแรง เป็นแค่การแก้ตัวว่าศรีสุวรรณรังแกคนอื่นจนสมควรโดน

สื่อบางกลุ่มเปิดประเด็นว่ามือชกศรีสุวรรณเป็น “คนเสื้อแดง” แต่ความเป็นคนเสื้อแดงในกรณีนี้กลับไม่มีผลให้สังคมลดความสะใจจากการชกศรีสุวรรณแม้แต่น้อย ต่อให้สื่อฝ่ายรัฐบาลจะขยายประเด็นว่าลุงชอบไลฟ์ก่อนชกเพื่อโชว์พลัง การปั่นข่าวก็แทบไม่มีผลต่อความรู้สึกของคนเลย

คำถามคืออะไรทำให้คนจำนวนมากสะใจกับการชกศรีสุวรรณจนเกิด “ฉันทามติฮุกขวา” ขั้นสนับสนุนการใช้ความรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม กระทั่งการเปิดประเด็น “คนเสื้อแดง” ก็จุดไม่ติด หยุดการบริจาคเงินไม่ได้ ระงับการเยาะเย้ยศรีสุวรรณไม่สำเร็จขั้นไม่มีผลแม้แต่นิดเดียว

มือชกศรีสุวรรณบอกว่าชกเพราะศรีสุวรรณเป็นนักร้องที่เลียเกินไป ส่วนมือไลฟ์การชกศรีสุวรรณบอกว่ามึงจบอะไรมา และ “เก่งแต่กับเด็ก” ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนมุมมองว่าคุณศรีสุวรรณถูกมองว่าคือคนที่ใช้กฎหมายฟ้องคนอื่นเรื่อยเปื่อยด้วยโทษสูงแบบไร้มูลเพื่อให้เป็นข่าวติดต่อกันมาหลายปี

จริงอยู่ว่าคุณศรีสุวรรณเป็น “นักร้อง” ซึ่งไม่มีอำนาจในการให้คุณให้โทษกับใคร

แต่ในสังคมที่ตำรวจ, อัยการ, ศาล, ป.ป.ช. และองค์กรอิสระอื่นๆ ถูกมองว่าเลือกข้างจนเอียงกระเท่เร่ไปหมด คุณศรีสุวรรณก็คือคนที่ยื่นเรื่องเปิดทางให้องค์กรเหล่านี้ใช้อำนาจในทางที่ผิดไปทั่วอย่างไม่ควรเป็น

ถ้าคุณศรีสุวรรณเป็น “นักร้อง” ในสังคมที่องค์กรของรัฐไม่ใช่เครื่องมือรังแกประชาชน คำร้องของคุณศรีสุวรรณอาจเป็นแค่ขยะที่เจ้าหน้าที่รับเรื่องเพื่อเอาไปทำลายทิ้ง

แต่ในสังคมที่รัฐจ้องหาเรื่องเชือดประชาชนทุกขณะ คุณศรีสุวรรณก็คือคนที่ปูพรมแดงให้อำนาจรัฐคุกคามประชาชน

คุณศรีสุวรรณพูดถูกว่ายื่นเรื่องร้องเรียนทุกคน แต่คุณศรีสุวรรณก็ควรมีความคิดมากพอจะรู้ว่าคำร้องที่คุณศรีสุวรรณยื่นให้สอบรัฐและรัฐบาลนั้นแทบไม่มีอะไรคืบหน้า ส่วนคำร้องให้เอาผิดประชาชนนั้นถูกรับลูกไปดำเนินการต่อแทบทั้งหมด

แต่คุณศรีสุวรรณก็ไม่เคยหยุดพฤติกรรมนี้แม้แต่นิดเดียว

 

ไม่ว่าคุณศรีสุวรรณจะมองตัวเองเป็น Active Citizen หรืออะไร สังคมมองคุณศรีสุวรรณเป็นสายลับที่คอยจับผิดประชาชนให้รัฐลงโทษ ผลคือแม้รัฐจะรับลูกคุณศรีสุวรรณเรื่องคนเสื้อแดง, ผู้ชุมนุม และทุกคนที่วิจารณ์รัฐบาล แต่บทบาทนี้ทำให้แทบทุกกลุ่มในสังคมมองคุณศรีสุวรรณเป็นศัตรู

แน่นอนว่าคุณศรีสุวรรณทำตัวเป็นนักร้องมาหลายรัฐบาล แต่ยิ่งคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในอำนาจนานขึ้น คุณศรีสุวรรณยิ่งร้องเรียนเรื่องไม่เป็นเรื่องเยอะขึ้นจนดูเลอะไปหมด ตัวอย่างเช่น ร้องเรียนชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เรื่องป้ายหาเสียงว่าเป็นการซื้อเสียง หรือร้องเรียนโน้ส-อุดม แต้พานิช ว่าสนับสนุนผู้ชุมนุม

เมื่อคำนึงว่า Active Citizen หมายถึงพลเมืองที่เอาการเอางานในการปกป้องประโยชน์ส่วนรวม สิ่งที่คุณศรีสุวรรณทำนั้นห่างไกลจากคำนี้มาก คุณศรีสุวรรณขู่แจ้งจับผู้ชุมนุม, คุณจตุพร พรหมพันธุ์ และโจมตีม็อบราษฎรล้มสถาบัน ซึ่งเท่ากับคุณศรีสุวรรณละเมิดเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของคนอื่นโดยตรง

คุณศรีสุวรรณใช้กฎหมายเพื่อสร้างความรุนแรงทางกฎหมายต่อประชาชนในสังคมที่กระบวนการยุติธรรมถูกวิจารณ์ว่าบิดเบี้ยวและอยุติธรรม เมื่อใดที่ประชาชนเห็นคุณศรีสุวรรณ เมื่อนั้นประชาชนจึงเห็นการจับผิดเพื่อยัดเยียดความผิดเพื่อหาเรื่องคนธรรมดาๆ จนถึงจุดที่ไม่มีเหตุมีผลอะไรรองรับอีกเลย

คนจำนวนมากจึงเชียร์ลุงชกศรีสุวรรณเพราะผู้ชกเป็นคนธรรมดาที่มีอำนาจน้อยกว่าศรีสุวรรณ แถมยังเป็นคนธรรมดาที่ประกาศว่าชกเพื่อ “ต่อต้าน” คุณศรีสุวรรณโดยพร้อมถูกตำรวจดำเนินคดี การชกจึงกลายเป็น “การกระทำทางการเมือง” แทนคนอื่น หรือ “สั่งสอน” ตามที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อธิบาย

 

แน่นอนว่าชกคือความรุนแรง ต่อให้จะมีคนบอกว่าศรีสุวรรณใช้ความรุนแรงทางกฎหมายซึ่งโหดร้ายกว่าความรุนแรงที่เลือดตกยางออก

แต่ข้อเท็จจริงคือการถูกชก, แทง, ฆ่า ฯลฯ เป็นความรุนแรงไม่น้อยไปกว่าการถูกยื่นร้องเรียนแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากใครเคยถูกแทงหรือเสี่ยงถูกฆ่ามาจริงๆ

กรณีต่อยศรีสุวรรณสะท้อนความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสังคม

การปั่นประเด็นว่าผู้ชกเป็นคนเสื้อแดงไม่ได้ทำให้คนสนับสนุนการชกน้อยลง ความเป็นเสื้อแดงไม่ใช่ชนวนให้คนต่อต้านอย่างในอดีต เช่นเดียวกับการปั่นประเด็นว่าผู้ชกเป็นพวกเดียวกับผู้ชุมนุมทะลุแก๊ซหรือราษฎร

ฉันทานุมัติชกศรีสุวรรณเรื่องนี้คล้ายกับฉันทานุมัติเรื่องโน้ส อุดม โน้สเล่นเดี่ยว 13 ซัดประยุทธ์เกือบครึ่งชั่วโมงนั้นนานกว่าที่เคยเล่นคุณทักษิณ ชินวัตร, คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณบรรหาร ศิลปอาชา แน่ๆ และค่ายโน้สก็รู้ว่าเรื่องนี้ขายได้จนกลายเป็นประเด็นโฆษณาของ Netflix โดยปริยาย

ปรากฏการณ์ที่การด่าประยุทธ์มีมูลค่าทางการตลาดแบบนี้น่าสนใจ เพราะคุณประยุทธ์มีคนรักและมีคนชังเหมือนนักการเมืองทุกคน การด่าที่ด่าแล้วได้ตังค์ทั้งในแง่ลิขสิทธิ์ของโน้สและค่าสมาชิกของค่ายจึงสะท้อนว่าคุณประยุทธ์มีคนชังมากกว่าคนรักจนด่าแล้วคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและการเมือง

โน้สในปี 2557 และปีอื่นๆ ไม่เคยด่าคุณประยุทธ์แบบนี้ ซ้ำถึงด่าก็คงเผชิญชะตากรรมเหมือนกับคนอื่นที่วิพากษ์วิจารณ์ประยุทธ์ตั้งแต่ปี 2557 นั่นก็คือเป็นขี้ข้าทักษิณ, สาวกธรรมกาย, สมุนยิ่งลักษณ์, ทาสเพื่อไทย, ขบวนการล้มเจ้า หรือแม้แต่กลุ่มต่อต้านสถาบัน

แม้ในปี 2565 จะยังมีคนตอบโต้โน้สด้วยประเด็นบ้าๆ แบบนี้ แต่คำพูดแบบนี้แทบไม่มีใครฟังจนมีพื้นที่แต่ในสื่อ ที่ไม่มีใครอ่าน เป็นได้แค่เพียงหลักฐานว่าคนไม่เห็นด้วยกับการโจมตีแบบนี้มากจนกระดาษทิชชู่ใช้แล้วยังมีน้ำหนักกว่าด้วยซ้ำไป

 

แอนดี้ วอร์ฮอล เคยพูดว่าในอนาคตคนเราจะมีชื่อเสียงระดับโลกราว 15 นาที และจริงๆ ประเด็นโน้สด่าประยุทธ์ควรมีอายุในแง่ข่าวไม่เกิน 1-2 วันเท่านั้น เพราะมาจากคลิปในสตรีมมิ่ง ซึ่งเมื่อมุงดูเสร็จแล้วก็ตัวใครตัวมัน แต่ก็เป็นคนแบบศรีสุวรรณ, เทพ โพธิ์งาม ฯลฯ ที่ทำให้ประเด็นนี้ลุกลาม

ควรระบุด้วยว่าปฏิกิริยาจากโน้สถึงศรีสุวรรณเกิดขึ้นหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้คุณประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งนายกฯ ได้อยู่นานเกิน 8 ปี ความสนับสนุนที่สังคมมีต่อโน้สและการชกศรีสุวรรณจึงสะท้อนความไม่พอใจคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญคดีนี้ไม่มากก็น้อย ถึงแม้ตามกฎหมายแล้วทุกคนจะต้องยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม

จากกรณีโน้สถึงศรีสุวรรณ สังคมไทยกำลังเคลื่อนตัวสู่สังคมที่การต่อต้านคุณประยุทธ์ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนข้อกล่าวหาประเภทเสื้อแดง-สมุนทักษิณ-สาวกธรรมกาย ไม่มีน้ำหนักอะไรอีกต่อไป ขณะที่ใครที่เป็นฝ่ายตรงข้ามคุณประยุทธ์นั้นกลายเป็นฝ่ายที่พูดแทนประชาชน

สำหรับคุณประยุทธ์และคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ ข่าวร้ายจากกรณีโน้สและศรีสุวรรณคือพรรครัฐบาลอาจจะทำให้พ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการเลือกตั้งรอบหน้าก็ได้

และน่ากลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคุณประยุทธ์และคุณประวิตรหากเดินถนนโดยไม่มีอะไรคุ้มครองเลยแบบศรีสุวรรณ

สำหรับประชาชนไทยโดยทั่วไป ข่าวร้ายจากกรณีโน้สและศรีสุวรรณคือรัฐบาลอาจหาทางไม่ให้มีการเลือกตั้งโดยวิธีต่างๆ เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ผู้มีอำนาจทุกคนรักษาอำนาจไว้ได้ต่อไป