ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 ตุลาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
สี จิ้นผิง
จะวางจีนไว้ตรงไหนของเวทีโลก?
เมื่อสี จิ้นผิง ผงาดขึ้นนั่งแท่นตำแหน่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีนอีกรอบหนึ่ง ทั้งโลกจะจับตาดูว่าเขาจะนำพาจีนไปในเวทีโลกอย่างไรในอีก 5 ปีข้างหน้า
คำถามที่น่าสนใจกว่านั้นคือ สี จิ้นผิง มองโลกในยุคของความผันผวนในขณะที่จีนต้องการจะขยับมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับสหรัฐในฐานะ “มหาอำนาจสองขั้ว” อย่างไร
ปีที่แล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนฉลองครบรอบวันก่อตั้ง 100 ปี ถือเป็นโอกาสสำคัญยิ่งสำหรับสี จิ้นผิง
แม้ว่ากิจกรรมการฉลองเมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 จะยังเป็นช่วงของการระบาดของโควิด-19 แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ไม่ลดละกิจกรรมที่มีความหมายอย่างน้อยก็ทางด้านสัญลักษณ์สำหรับคนจีน และเวทีโลกด้วยพร้อมๆ กัน
จุดเน้นของพรรคในโอกาสนี้คือการสร้าง “ชีวิตที่ดีขึ้น” สำหรับคนจีน และนโยบาย “ความรุ่งเรืองร่วมกัน” (Common Prosperity) ให้กับคนทั้งประเทศ
แต่ด้วยสถานภาพของจีนวันนี้ เรื่องภายในของจีนล้วนแล้วแต่โยงใยถึงโลกทั้งสิ้น
เช่นกรณีมีความกังวลเรื่องตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนเมื่อปลายปีที่แล้ว
นักวิเคราะห์ระหว่างประเทศมองทันทีว่าหากตลาดจีนพัง, เศรษฐกิจโลกก็ถูกกระทบแน่นอน
เพราะผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือ GDP ของจีนวันนี้มีสัดส่วน 1 ใน 5 ของโลก
ที่เคยบอกว่าหากสหรัฐจาม ทั้งโลกก็จะเป็นหวัดนั้นต้องเขียนเสียใหม่ว่า
ถ้าจีนฮัดเช้ย, ทั้งโลกจะติดโรคระบาดกันไปทั่วแน่นอน
แม้มองในแง่ลบก็ยังเป็นดัชนีชี้ชัดว่าปักกิ่งได้ก้าวมายืนอยู่แถวหน้าพร้อมกับวอชิงตันแล้ว…นั่นแปลว่าหากเราเชื่อว่าวิกฤตของอเมริกาก็คือวิกฤตของโลก ก็ต้องเชื่อเหมือนกันว่าความวุ่นวายในจีนก็ย่อมหมายถึงความอลหม่านของโลกเช่นกัน
เกิดคำถามว่าการเป็นผู้นำจีนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ในเวทีระหว่างประเทศอย่างไรบ้าง
ตั้งแต่การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 ผู้บริหารสูงสุดของจีนมีประสบการณ์กับการเมืองโลกที่อยู่ในระดับที่แตกต่างกัน
เหมาเจ๋อตุงเกือบจะไม่เคยไปเหยียบเมืองนอกเลย…เดินทางออกนอกประเทศเพียง 2 ครั้งในชีวิต
และทั้งสองครั้งนั้นก็ไปเยือนประเทศเดียวคือสหภาพโซเวียต
และการไปมอสโกทั้งสองครั้งสำหรับเหมาเจ๋อตุงนั้นก็สวมบท “น้องชายไปหาพี่ใหญ่” เพื่อรับคำแนะนำในการสร้างชาติมากกว่าที่จะไปในฐานะผู้มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน
เพราะเป็นจังหวะเวลาที่เหมาต้องทำทุกอย่างเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคก็การสร้าง “จีนใหม่” ขึ้นมาให้ได้
ในเมื่อ “สหาย” ที่สำคัญที่สุดในขณะนั้นคือสหภาพโซเวียต เหมาก็จำต้องเล่นบทของอาคันตุกะที่ขอไปเยี่ยมเยือนเพื่อแสวงหาความช่วยเหลือและคำชี้แนะ
ทั้งในแง่ของการได้มาซึ่งเงินและสิ่งของ กับการถ่ายทอดอุดมการณ์ “มาร์กส์-เลนิน” ที่ผู้นำจีนใหม่ต้องปรับใช้เพื่อการนำพาประเทศให้มุ่งสู่เป้าหมายที่ต้องบรรลุ
ส่วนเติ้ง เสี่ยวผิง นั้นมีโอกาสเปิดหูเปิดตาในต่างประเทศมากกว่าเหมามากนัก
เติ้งอยู่ที่ฝรั่งเศสหลายปีตั้งแต่อายุ 16
ในช่วงนั้น ประวัติทางการบอกว่าเติ้งใช้เวลาหนึ่งเดือนในปี 1925 ทำงานในโรงงานรถยนต์ Renault
แต่คนที่ไปค้นหาข้อมูลเชิงลึกเพื่อเขียนประวัติของเขาพบว่าเติ้งใช้การ “ทำงานที่โรงงาน” เป็นฉากบังหน้าเท่านั้น
ภารกิจหลักคือการปลุกระดมทางการเมืองในมวลหมู่คนจีนในฝรั่งเศส
นั่นคือประสบการณ์ที่น่าจะมีอิทธิพลต่อความคิดอ่านทางการเมืองของเติ้งไม่น้อย
เพราะแม้ว่าเขาจะมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อความเป็นคอมมิวนิสต์ตั้งแต่อายุยังน้อย และทำงานเป็น “สาย” ให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม แต่การได้พบเห็นความเป็นไปในฝรั่งเศสท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างหนักย่อมจะทำให้เติ้งสามารถแยกแยะระหว่าง “อุดมกาณ์ทางการเมือง” กับ “แนวทางสร้างเศรษฐกิจ” ของจีน
เติ้งเจอกับ “ของจริง” ที่สอนเขาว่าทฤษฎีของสังคมนิยมกับการสร้างเศรษฐกิจให้รุ่งเรือง ตอบโจทย์เรื่องปากท้องของชาวบ้านได้นั้นอาจจะเป็นคนละเรื่องกัน
เขาจึงกล้านำเอา “การตลาด” แบบทุนนิยมมาผสมผสานกับ “ความเป็นสังคมนิยม” แบบจีนมาสร้างแนวทางใหม่ที่เปลี่ยนประเทศจีนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
ด้วยนโยบาย “เปิดประเทศ” และ “สร้างสังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์แบบจีน”
แมวสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้เป็นพอ
หลักคิดเช่นนี้ย่อมจะทำให้เกิดความแปดเปื้อนกับ “ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง” ของความเป็นคอมมิวนิสต์แบบเข้มข้นจากแนวทางของเหมาที่กำหนดแนวปฏิบัติไว้ใน “ความคิดเหมา” ที่พิมพ์เป็นคู่มือแจกจ่ายคนจีนทุกคนที่จะต้องเดินตามแนวทางนั้นอย่างเคร่งครัด
เติ้งสามารถเบนออกจากเส้นทางของเหมาหลังจากที่เขาได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งที่สามารถออกคำสั่งให้กับทุกกลไกของรัฐก็หลังจากเหมาสิ้นชีวิตเท่านั้น
ส่วนผู้นำคนต่อมาคือเจียง เจ๋อหมิน มีความสามารถในเรื่องภาษาดีกว่าทั้งเหมาและเติ้ง
(เติ้งอยู่ฝรั่งเศสหลายปีก็จริง และแม้คนใกล้ชิดจะเคยกระซิบกับสื่อจีนว่าเขาชอบครัวซองต์ฝรั่งเศสอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเติ้งพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว)
เจียงพูดภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่วเพราะไปเรียนหนังสือที่รัสเซียอยู่หลายปี
เขาพูดภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่งทีเดียว
แต่หู จิ่นเทา กับสี จิ้นผิง ไม่เคยใช้ชีวิตในต่างประเทศ
สีไปเยือนรัฐไอโอวาของสหรัฐในช่วงสั้นๆ เมื่อปี 1985
ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเขาซึมซับเรื่องราวการเมืองและสังคมของอเมริกาได้มากนัก
และการไปเยือนต่างประเทศของสีก่อนจะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศนั้น ส่วนใหญ่ก็ในฐานะร่วมคณะทางการ
จึงเป็นประสบการณ์ทางการมากกว่าการที่จะใช้ชีวิตที่ได้สัมผัสกับวิธีคิดและวัฒนธรรมของต่างชาติมากนัก
แต่ไม่ว่าผู้นำจีนทั้ง 5 รุ่นนี้จะมีประสบการณ์ต่างแดนแตกต่างกันมากน้อยอย่างไร เป้าหมายของการบริหารประเทศมีความเหมือนกันประการหนึ่ง
นั่นคือการที่จะต้องสร้างให้จีนมีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศให้จงได้
ผู้นำจีนเกือบทุกคนจะเท้าความถึงอดีตที่จีนถูกต่างชาติเข้ามายึดครองและสร้างความเสียหายอย่างมากมายอย่างไร…จึงเป็นภารกิจหลักของผู้นำจีนทุกคนที่จะต้อง “กู้ศักดิ์ศรี” ของความเป็นคนจีนที่จะไม่ยอมให้ต่างชาติข่มเหงรังแกหรือเหยียดหยามได้อีกเป็นอันขาด
ด้วยเหตุนี้ สี จิ้นผิง จึงถือเป็นนโยบายหลักในการที่ทำให้ต่างชาติเคารพในความเป็นจีนยุคใหม่
ตอกย้ำว่า “ไม่มีใครสามารถยับยั้งการก้าวไปข้างหน้าของจีนในเวทีระหว่างประเทศอีกต่อไป”
ภาพลักษณ์ที่กลไกประชาสัมพันธ์ของพรรคและรัฐบาลจีนเน้นในทุกกรณีคือ
สี จิ้นผิง เป็นผู้นำที่แข็งแกร่งของประเทศที่กำลังก้าวไกลในเวทีโลก
มองจากข้างนอก จีนมีภาพย้อนแย้ง
ด้านหนึ่ง คือความสำเร็จในการสร้างเศรษฐกิจจากความล้าหลังมาเป็นผู้นำที่แม้แต่โลกตะวันตกก็ต้องเกรงกลัว
อีกด้านหนึ่งที่โลกตะวันตกมองคือปัญหาของการที่ยังมีประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในหลายๆ กรณี
กลไกรัฐของจีนต้องการจะเน้นความสำเร็จด้านเศรษฐกิจ…ที่มีผลทางบวกต่อสิทธิของประชาชนด้วย
โดยเน้นว่าการตีความคำว่า “ประชาธิปไตย” ของจีนกับของตะวันตกมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ประชาธิปไตยในความหมายของจีนคือการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างชาติร่วมกัน มิใช่การแสวงหาประโยชน์ มือใครยาวสาวได้สาวเอาแบบตะวันตก
และข้อกล่าวหาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของ “ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด” ของฝ่ายตะวันตกที่ต้องการจะทำลายชื่อเสียงของจีน
จีนเชื่อว่าสหรัฐอยู่เบื้องหลัง “แผนมุ่งร้ายทำลายขวัญ” นี้เพราะอเมริกากลัวจีนจะแซงหน้ามหาอำนาจเบอร์หนึ่ง
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าวันนี้จีนมีสถานภาพโดดเด่นเทียบเคียงกับสหรัฐในเวทีโลกได้
แต่ทั้งสองมหาอำนาจะสามารถตกลงว่าจะร่วมมือหรือแข่งขันหรือเผชิญหน้าเป็นประเด็นใหญ่ที่สุดสำหรับโลกวันนี้
นั่นคือ Co-operaton หรือความร่วมมือ
หรือ Competition การแข่งขัน
หรือ Confrontation อันหมายถึงการเผชิญหน้า
โลกอยากจะเห็นจีนและอเมริกาเลือก C ตัวไหน…คือคำถามใหญ่ที่จะกำหนดทิศทางของโลกในวันหน้าหลังจากสี จิ้นผิง ได้รับการยืนยันว่านั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่งของจีนไปอีกอย่างน้อยหนึ่งสมัย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022