นิ้วกลม : จวงจื่อ… ‘ดีทั้งนั้น!’

เมื่อพูดถึงความปรารถนา จวงจื่อแบ่งคนออกเป็นประเภทต่างๆ ตามนี้

ผู้ที่ควบคุมความปรารถนา ประกอบภารกิจอันสูงส่ง ปลีกตัวจากโลก ปฏิเสธแบบอย่างของผู้คน ปฏิบัติแตกต่างจากผู้อื่น เทศนาสั่งสอน เคียดขึ้งวิพากษ์วิจารณ์ ชีวิตมุ่งแต่บ่นว่ากล่าวโทษและตำหนิติเตียน นี่คือวิถีชีวิตของบัณฑิตผู้คงแก่เรียนในป่าเขา ผู้เฝ้าแต่ประณามโลก ห่อเหี่ยวหมองหม่น คือผู้ที่อาจกระโจนสู่ห้วงลึกปลิดชีพตัวเอง

ผู้สั่งสอนมนุสสธรรม ครรลองธรรม ความภักดี และศรัทธาดีงาม ยึดถือความนบนอบมีมรรยาท ยับยั้งชั่งใจ สุภาพถ่อมตน เคารพนบน้อม ชีวิตมุ่งแต่การฝึกอบรมจริยธรรม นี่คือวิถีของบัณฑิตผู้คงแก่เรียนที่แสวงหาหนทางนำโลกสู่ระเบียบ พร่ำสอนสั่งผู้คน อุทิศชีวิตร่ำเรียนวิชาความรู้

ผู้ที่ไขว่คว้าความสำเร็จ สร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ สร้างแบบแผนพิธีกรรมระหว่างผู้ปกครองกับประชาราษฎร์ กำหนดสถานะตำแหน่งยศของผู้อยู่เบื้องสูงและผู้อยู่เบื้องต่ำ ชีวิตมุ่งแต่จัดวางระเบียบแก่รัฐ นี่คือวิถีชีวิตของเหล่าบัณฑิตที่ปรึกษาในราชสำนักและที่ประชุมขุนนาง ผู้เทิดทูนเจ้าเหนือหัวและทำให้บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นเข้มแข็ง ผู้พิชิตชัยชนะและรวบรวมแว่นแคว้น

ผู้ที่อาศัยในไพรพฤกษ์ นั่งตกปลาในหนองบึงอันเงียบสงัด ปล่อยวางชีวิตผ่อนคลายเป็นสุข มุ่งแต่ดำเนินอกรรม นี่คือวิถีชีวิตของบัณฑิตผู้แสวงหาริมแม่น้ำและทะเล ผู้ปลีกตัวจากโลก ดำเนินชีวิตอย่างเรียบเรื่อย

ผู้ครองตัวสันโดษปฏิบัติพรตวัตร ฝึกการหายใจ ระบายลมหายใจเก่าออกไปและสูดรับลมหายใจใหม่เข้ามา ยืดเหยียดลำตัวดั่งหมีและชูคอชะเง้อเหมือนนก พวกเขามุ่งรักษาชีวิตยืนยาว นี่เป็นวิถีของบัณฑิตผู้ฝึกพลังปราณถนอมรักษาร่างกาย เพื่อยืดชีวิตยืนยาวดั่งเผิงจู่

ฟังดูแล้วผู้คนแต่ละประเภทล้วนมีความดีงามที่น่าสนใจ กระนั้น จวงจื่อยังกล่าวต่อราวกับจะบอกว่าทั้งหมดที่กล่าวมาหาใช่คุณสมบัติของ “มนุษย์ที่แท้” ไม่ จวงจื่อกล่าวว่า

“ทว่า การบรรลุถึงความสูงส่งโดยไม่ต้องควบคุมความปรารถนา เข้าถึงจริยธรรมโดยไม่ต้องอาศัยมนุสสธรรมและครรลองธรรม เป็นระเบียบเรียบร้อยโดยไม่ต้องอาศัยผลสำเร็จและชื่อเสียง ผ่อนคลายเป็นสุขโดยไม่ต้องดั้นด้นถึงแม่น้ำและทะเล รักษาชีวิตยืนยาวโดยปราศจากพรตวัตร สูญสิ้นทุกอย่าง ทว่า กลับครอบครองทุกสิ่ง สงบผ่อนคลายอย่างสุดคณา ซึ่งสิ่งดีงามทั้งปวงจะอุบัติขั้น นี่คือวิถีแห่งฟ้าและดิน เป็นคุณธรรมของปราชญ์”

ฟังเช่นนี้แล้วอาจพอสรุปความง่ายๆ ว่า “ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องคาดหวังอะไร ไม่ต้องไปที่ไหน เดี๋ยวมันจะดีเอง”

ซึ่งถ้ามีใครมาพูดแบบนี้กับเรา เราอาจจ้องเข้าไปในดวงตาของเขาเพื่อเช็กความปกติของสมอง

ใช่, ใครพูดแบบนี้ไม่บ้าก็ใกล้บ้าแน่ๆ

 

นั่งเฉยๆ แล้วทุกสิ่งในชีวิตจะดีงามได้อย่างไร

หากมีโอกาสย้อนเวลากลับไปพบจวงจื่อ เราคงอดถามคำถามนี้ไม่ได้ แต่ก็โชคดีที่จวงจื่อมอบคำตอบไว้มากมายในคัมภีร์ของเขา

การไม่ทำ ไม่หวัง ไม่พิชิตจุดหมายใด ถึงที่สุดแล้วคือการเป็นธรรมชาติ

แต่มนุษย์เราพยายามจัดการสังคมด้วยวัฒนธรรม เราจึงสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงมนุษย์และสังคม เมื่อมีวัฒนธรรมจึงมีสิ่งดีงามและสิ่งที่เลวทราม หากต้องการเข้าถึงความดีงาม เราต้องมีความพยายาม ความตั้งใจ ความปรารถนา และความคาดหวัง

หากความดีงามคือความถูกต้อง การเข้าถึงความถูกต้องนั้นเป็นเรื่องไม่ง่าย เราต้องพยายามเพื่อเป็นคนดี เราต้องปฏิบัติตามบางอย่างเพื่อเป็นคนดี การเป็นคนดีจึงเป็นเส้นทางที่กระตุ้นและล้อเล่นกับอัตตาของเราอย่างยิ่ง

ว่ากันว่า มนุษย์ชอบเอาชนะสิ่งที่เอาชนะได้ยาก เรามีความสุขที่ได้ทำเรื่องยาก ได้ข้ามผ่านอุปสรรค ยิ่งยากยิ่งท้าทายอัตตาเรา ก็ยิ่งอยากเอาชนะ

จึงน่าสำรวจว่า ระหว่างทางสู่การเป็นคนดีตามที่สังคมนิยามนั้น เรากำลังเสริมสร้างอัตตาและความภาคภูมิใจในตัวเองแบบผิดๆ ไปพร้อมกันหรือเปล่า รวมถึงความดีงามตามอุดมคติตามที่เรายึดถือ แท้จริงแล้วเรากำลังทำดีไปพร้อมกับรู้สึกดีกับตัวเองว่าสูงส่งกว่าผู้ที่ไม่กระทำในแบบเดียวกับเราหรือไม่

ไม่น่าแปลกใจที่ “คนดี” หลายคนเผลอยกตนด้วยความดีงามตามนิยาม แล้วกดผู้อื่นให้ต่ำลงไปพร้อมๆ กัน หากเป็นเช่นนั้นแปลว่า-เราถูกอัตตาของตัวเองเล่นงานเข้าแล้ว

สำหรับจวงจื่อแล้ว ความถูกต้องไม่ใช่เรื่องยากเย็น

“ง่ายคือถูกต้อง
จงเริ่มต้นให้ถูกต้อง  แล้วจะทำได้ง่าย
รักษาความง่ายนั้นไว้ แล้วจะถูกต้อง
หาทางถูกต้องที่นำไปสู่ความง่าย
ก็คือ จงลืมหนทางที่ถูกต้องเสีย
และจงลืมด้วยว่า การไปนั้นง่าย”

อาจฟังดูซับซ้อน เล่นคำไปมา แต่ความหมายนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง นั่นคือความไม่พยายาม เป็นไปตามธรรมชาติโดยไร้ความพยายาม เมื่อไร้ความพยายามก็ไร้อัตตา เมื่อไร้อัตตาจึงถูกต้อง เพราะเมื่อไร้อัตตาจึงเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน

เราอาจมองได้ว่า จวงจื่อตั้งคำถามกับวัฒนธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อกำหนดมนุษย์ด้วยกัน โดยเสนอให้หวนกลับไปสู่ธรรมชาติที่ไร้วัฒนธรรม คือภาวะที่ไร้ความพยายาม ไร้การกำหนดกะเกณฑ์ ไร้ตัวตนที่จะมาสู้รบชิงดีชิงเด่นเอาชนะคะคานกันเรื่องความดีงาม

เพราะทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนแล้วแต่เรียบง่ายและถูกต้อง

กระทั่งความตาย

 

เมื่อภรรยาของจวงจื่อเสียชีวิตลง ฮุ่ยจื่อไปแสดงความคารวะศพ กลับพบจวงจื่อนั่งเหยียดขาเคาะถังไม้พลางร้องเพลง

ฮุ่ยจื่อจึงตำหนิว่า “การไม่ร่ำไห้อาลัยต่อการจากไปของภรรยาก็เลวร้ายพอแล้ว แต่ยังมานั่งเคาะถังไม้ร้องเพลงเล่นเช่นนี้อีก นี่ออกจะเกินไปแล้ว มิใช่หรือ”

จวงจื่อตอบว่า “ท่านผิดเสียแล้ว เมื่อนางเสียชีวิตลงนั้น ท่านคิดหรือว่าข้าจะไม่รู้สึกเศร้าโศกเสียใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เมื่อข้าได้มองย้อนถึงต้นกำเนิดของนาง กระทั่งกาลก่อนที่นางจะถือกำเนิด ไม่เพียงแค่กาลก่อนที่นางจะถือกำเนิด แต่เป็นกาลก่อนที่นางจะมีรูปกาย ไม่เพียงแค่กาลก่อนที่นางจะมีรูปกาย แต่เป็นกาลก่อนที่นางจะมีจิตวิญญาณ…ความเปลี่ยนแปลงได้ไหลเวียนสืบเนื่องไป และนางก็สิ้นชีพ ชีวิตไม่ผิดอะไรกับความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่…หากข้ายังคร่ำครวญร้องไห้ ก็แสดงว่าข้าไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับชะตา ดังนั้นข้าจึงได้หยุดยั้ง”

จวงจื่อจึงร้องเพลงว่า “เจ้าได้ใช้ชีวิตร่วมกับนาง นางได้เลี้ยงดูบุตรของเจ้ากระทั่งแก่เฒ่า” คล้ายใคร่ครวญว่า ในชั่วขณะที่มีชีวิต นางก็ได้ทำหน้าที่ของนางเต็มที่แล้ว จึงมิมีเหตุที่ควรเสียใจ

สิ่งที่จวงจื่ออธิบายต่อฮุ่ยจื่อแท้จริงแล้วคือการอธิบายกฎธรรมชาติ โดยย้อนไปถึงแหล่งกำเนิดก่อนที่จะมีมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้วสิ่งต่างๆ ก่อเกิดขึ้นเนิ่นนานก่อนที่จะมาเป็นคนที่เรารัก แล้วธรรมชาติก็จะหมุนวนต่อไป เช่นเดียวกับก่อนหน้าที่จะมีเราบนโลกนี้และหลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว นี่คือธรรมชาติของธรรมชาติ ความเศร้าโศกเกิดขึ้นเมื่อเราคาดหวังในสิ่งที่ขัดฝืนต่อธรรมชาติ เราต้องการเหนี่ยวรั้งสิ่งที่รักไม่ให้สลายไปตามธรรมชาติ

หากไม่คาดหวัง ไม่ปรารถนา ก็มิอาจไม่พอใจ

ไม่ว่าความคาดหวังในการเหนี่ยวรั้งเรื่องต่างๆ ของตัวเอง เหนี่ยวรั้งผู้คนรอบข้าง หรือเหนี่ยวรั้งให้สังคมและประเทศชาติเป็นไปในแนวทางที่ตนเห็นว่าดีงาม เหล่านี้ล้วนขัดขืนกับธรรมชาติของฟ้าดิน

เช่นนี้เอง เมื่อมีใครพูดบางสิ่งกับจวงจื่อ จวงจื่อจะบอกว่า “ดี ดีมาก!” ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม บางคนบอกว่า “ภรรยาของข้าตาย” “บ้านของข้าถูกปล้น” “ลูกชายของข้าขาหัก” จวงจื่อก็จะตอบด้วยคำติดปากคือ “ดี ดีมาก!”

สำหรับจวงจื่อแล้ว ชีวิตนั้นซับซ้อนและต้องดูกันยาวๆ เรื่องเลวร้ายวันนี้อาจนำมาซึ่งเรื่องดีๆ ในวันหน้าก็เป็นได้ แต่ถึงที่สุดแล้ว ดีหรือร้ายล้วนไม่มี มันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง เราไม่สามารถควบคุมบัญชาชีวิตและโลกให้เป็นไปตามใจปรารถนา สิ่งที่เราพอจะทำได้คือไม่คาดหวังและเหนี่ยวรั้งให้โลกต้องเป็นไปตามที่เราต้องการ

คาถาติดปากจวงจื่อจึงเป็นคำพูดนี้ “ดี ดีมาก!”

เมื่อไม่คาดหวัง ก็มิอาจไม่พอใจ

สิ่งนี้เองที่จวงจื่อบอกว่า “ง่ายคือถูกต้อง”

เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราทำสิ่งที่รู้สึกว่ายาก เรากำลังก่อร่างสร้างอัตตาอยู่ ความอยากเอาชนะนั้นจะปะทะกับความอยากชนะของอีกคนหนึ่ง ความดีงามนั้นจะปะทะกับความดีงามอีกอย่างหนึ่ง

เขียนมาถึงบรรทัดนี้ ผมเริ่มสับสนในใจว่า ระหว่างผมกับจวงจื่อ

ใครกันแน่ที่บ้า