เมื่อ ‘บิ๊กตู่’ จะไปต่อ เมื่อ ‘บิ๊กแดง’ ติดไฟแดง แกะรอยอาการ ‘งอน’ ของ ‘พี่ป้อม’ แกะรอย (ร้าว) 3 ป.

เมื่อ ‘บิ๊กตู่’ จะไปต่อ เมื่อ ‘บิ๊กแดง’ ติดไฟแดง แกะรอยอาการ ‘งอน’ ของ ‘พี่ป้อม’ แกะรอย (ร้าว) 3 ป. กับท่าทีกองทัพ พร้อมรับปีเดือด 2566

ความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3 ป. ที่ไม่เหมือนเดิม และความไม่ชัดเจนของการตัดสินใจทางการเมือง ส่งผลให้เกิดความอึมครึม

เพราะรอยแตกร้าวถูกเซาะลึกลงมากขึ้นๆ ทุกที จนอาจเกินเยียวยา

แม้จะมีสัญญาณค่อนข้างชัดเจนจากฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะไปต่อบนถนนการเมือง แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเริ่มนับวาระนายกรัฐมนตรี 8 ปีจากวันที่รัฐธรรมนูญประกาศบังคับใช้ 6 เมษายน 2560 และจะไปต่อในสมัยหน้า ได้แค่ปี 2568 ก็ตาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็จะไปต่อให้สุดทาง เท่าที่จะเดินต่อไปได้

เพียงแต่ต้องตัดสินใจว่า บนถนนสายนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะเดินเคียงคู่ไปกับบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่รอง พี่เลิฟ แค่ 2 คน แยกทางเดินกับพี่ใหญ่ หรือว่าจะอดทนเดินร่วมกันไปทั้ง 3 ป.พี่น้องเช่นเดิม เพื่อรักษาความเป็นอมตะของแผงอำนาจ 3 ป.บูรพาพยัคฆ์อันเลื่องลือ

แต่หลายความเคลื่อนไหว หลายสัญญาณ กำลังจะชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจเลือกเดินโดยไม่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เคียงข้าง

ทั้งกระแสข่าวที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นรัฐมนตรีในสายจันทร์โอชา ใกล้ชิดสนิทสนมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จะย้ายไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อเตรียมการรองรับ พล.อ.ประยุทธ์ที่จะย้ายตามไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค หลังจากเป็นที่รับรู้กันว่า เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ

อีกทั้งในระยะหลังๆ มานี้ นายสุชาติไม่ได้เข้าไปบ้านป่ารอยต่อฯ ทุกเช้าเช่นเคย

จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องสยบข่าว ด้วยการเดินเข้ามาทางด้านหลัง แล้วสวมกอด พล.อ.ประวิตร แล้วลูบพุง พร้อมกล่าวว่า “ไม่ไปไหนหรอก แหม! มีเรื่องให้ง้อได้ทุกวัน”

หลังมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะแยกพรรคไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค ที่พร้อมจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ

ทั้งนี้ เป็นที่จับตามองถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดของนายพีระพันธุ์กับบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ และรองราชเลขาธิการ ที่ตกเป็นกระแสว่าจะเป็นทายาททางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์

แต่มีรายงานยืนยันว่า พล.อ.อภิรัชต์ จะไม่ลาออกมาทำงานการเมือง แต่จะทำหน้าที่สำคัญนี้ต่อไป จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องปรับแผน และเตรียมที่จะสู้ต่อด้วยตนเอง

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะบอกว่าไม่ไปไหนหรอก แต่ก็เป็นคำพูดในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้า สถานการณ์ทางการเมืองที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง หักเหได้ทุกเมื่อ อาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องตัดสินใจ

ยิ่งหากย้อนไปดูความสัมพันธ์พี่น้อง 3 ป. ที่ถึงขั้น พล.อ.ประวิตร แสดงออกถึงอาการงอน จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องมากอดแล้วบอกว่า “มีเรื่องให้ง้อได้ทุกวัน” นั้น ก็เป็นการยืนยันว่า พล.อ.ประวิตรไม่พอใจ พล.อ.ประยุทธ์ในหลายสิ่งอย่าง ทั้งคำพูดและการกระทำ

ทั้งคำพูดเรื่องป้ายต้อนรับเมื่อลงพื้นที่ ที่ไม่ต้องการให้เรื่องมาก และการตอกย้ำเรื่องสุขภาพ ที่ว่าไม่ต้องการเป็นภาระให้ใคร เพราะสุขภาพแข็งแรง ที่ถูกมองว่าเป็นการแซะ พล.อ.ประวิตร ที่เมื่อครั้งปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนนายกฯ เวลาลงพื้นที่จะมีป้ายต้อนรับเต็มไปหมด

แต่ทว่า ก็ไม่ได้มีผลกับ พล.อ.ประวิตร เพราะการลงพื้นที่ก็ยังคงมีป้ายต้อนรับมากมายเช่นเดิม

อาการงอนของ พล.อ.ประวิตร ปรากฏชัด จากการที่จู่ๆ ก็ลาไม่มาประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นประธานหลังจากที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ไป โดยให้เหตุผลว่าไม่สบาย เป็นไข้หวัดจากการตากฝนลงพื้นที่ต่อเนื่องในห้วงที่รักษาราชการแทนนายกฯ

ซึ่งในหมู่พี่น้องย่อมรู้กันดีว่านี่คืออาการงอนจน พล.อ.ประยุทธ์ต้องจูงมือ พล.อ.อนุพงษ์เข้าบ้านป่ารอยต่อฯ ไปเยี่ยม พล.อ.ประวิตร แต่ก็ปิดห้องคุยกันได้แค่ 20 นาทีเท่านั้น ที่เป็นการสะท้อนถึงอาการงอนขั้นรุนแรงของพี่ใหญ่

แต่ที่งอนกันแรง ก็คือการที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด ตอบกลับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลังและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐเรื่องเงิน 50 ล้าน เยียวยาเกษตรกรเพชรบูรณ์ ที่เบิกจ่ายไปแล้วแต่ไม่ถึงมือชาวบ้าน พร้อมมอบให้ พล.อ.ประวิตรไปตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะเสมือนเป็นการโยนระเบิดใส่นายสันติ เจ้าของพื้นที่เพชรบูรณ์ พร้อมๆ กับ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ไม่แค่นั้น เรื่องที่งอนกัน คือการปรับคณะรัฐมนตรี ที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่อยากจะปรับ แต่หากจำเป็นต้องปรับ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะปรับแล้วนั้น ก็จะขยับแค่ตำแหน่งที่ว่างอยู่ของ พปชร.เท่านั้น

ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปรับเก้าอี้ รมว.มหาดไทย เพื่อให้ พล.อ.ประวิตรมานั่งเป็น มท.1 เตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง แต่มีสัญญาณว่าจะให้ พล.อ.อนุพงษ์นั่งต่อไป ทั้งจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปประชุมที่มหาดไทยด้วยตนเองในวันที่เริ่มกลับมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีวันแรก หลังจากที่หยุดไป 38 วัน ก็เลือกที่จะใส่ชุดข้าราชการมาประชุม

ไม่แค่นั้น การลงพื้นที่ต่างจังหวัด ก็จะไม่เห็นนักการเมือง แต่จะเป็นกลไกของมหาดไทย ทั้งผู้ว่าฯ ข้าราชการในระดับจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พยายามแสดงพลังสีกากี

รวมถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังให้ พล.อ.อนุพงษ์ เป็นแม่งานหลักในเรื่องของการแก้ไขปัญหาอาวุธปืน อันเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์สังหารหมู่ที่หนองบัวลำภู ที่มหาดไทยต้องเทกแอ๊กชั่นในเรื่องการควบคุมอาวุธปืน โดยมอบหมายให้ พล.อ.อนุพงษ์เป็นคนแถลงข่าวและตอบคำถามนักข่าวด้วยตนเอง

เสมือนเป็นการมอบหมายภารกิจสำคัญให้ทำให้สำเร็จลุล่วงในช่วงปลายรัฐบาลที่อาจทำให้คิดได้ว่าเป็นสัญญาณของการไม่แตะเก้าอี้ มท.1 ไม่เปลี่ยน รมว.มหาดไทย แม้จะรู้กันดีว่าในพรรคพลังประชารัฐสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตรเป็นมหาดไทย เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งมาหลายครั้งก็ตาม แต่ก็ไม่เคยกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ได้สำเร็จเลย

อีกทั้งย้อนไปเมื่อวันเกิด 73 ปีของ พล.อ.อนุพงษ์ เมื่อ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ในฐานะพี่เลิฟ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมาอวยพรวันเกิดพี่รองด้วยตนเองที่บ้าน

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ส่งบิ๊กตู่ พล.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา อดีตรองปลัดกลาโหม และอดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ. น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ ซึ่งเป็นทีมงานติดตามใกล้ชิดมาอวยพรแทน เพราะถือว่าเป็นสายบูรพาพยัคฆ์ด้วยกันมา แถมทั้งไม่มีการนัดกินข้าวมื้อค่ำ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แต่อย่างใด

นอกจากนั้น ยังมีการจับสังเกตระยะห่างระหว่าง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ที่มากขึ้น ไม่นับรวมถึงการที่ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ได้ลงพื้นที่ต่างจังหวัดกับ พล.อ.ประวิตร ในช่วงที่รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีเลย

ความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3 ป. ที่ระหองระแหง มีงอน มีง้อกันมาตลอดช่วง 8 ปีในอำนาจ จากที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่พี่น้องที่คบหากันมายาวนานกว่า 40 ปี กำลังจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่คุยเคลียร์กันให้ชัดเจน

เพราะหาก 3 ป.ไม่สมัครสมานสามัคคี ไม่จับมือกัน แต่เลือกเดินไปคนละทาง ความพ่ายแพ้ก็รออยู่เบื้องหน้า ต่อให้มี 250 ส.ว.พร้อมช่วยเลือกนายกฯ ในสภาและมีองคาพยพที่มองไม่เห็น พร้อมที่จะหนุนเนื่องก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะได้กลับมาเป็นรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรีอีกสมัยได้ง่ายๆ

เพราะหากรุ่นพี่ ทหารเก่าอย่าง 3 ป. บริหารจัดการการเมือง บริหารจัดการอำนาจทางการเมืองไม่ได้ ก็อาจจะต้องเดือดร้อนนายทหารรุ่นน้องในกองทัพ

เพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน ยังคงเป็นที่จับตามอง หากพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล ไม่ได้เป็นนายกฯ อีก หลังการเลือกตั้งในปี 2566 จะเกิดอะไรตามมา

แม้ว่าการรัฐประหารจะไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่หากเกิดความวุ่นวาย มีการใช้ความรุนแรง ทหารอาจจะต้องออกมาก็ได้

สังคมไทยจึงยังหวาดระแวงกับการรัฐประหารเสมอ เมื่อเกิดปัญหาในทางการเมือง

แม้ว่าบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะส่งสัญญาณเพื่อสยบข่าวลือ หรือความหวาดหวั่น แต่ทว่า ก็ไม่ได้พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า จะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร

“ประเทศเราพัฒนาไปไกลมากแล้วๆ ก็ต้องช่วยดูในเรื่องการดำเนินการทางการเมืองต่างๆ เพื่อให้การแก้ปัญหาของประเทศเป็นไปตามแนวทางทางการเมือง ผมเชื่อว่าความคาดหวังของผู้คน ของทุกคนต้องการเห็นพัฒนาการการเมืองของประเทศ เราเป็นไปในรูปแบบภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราต้องการเห็นแบบนั้น ทหารก็ต้องการเห็นอย่างนั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ในทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ทหารเราก็ทำหน้าที่ของเราเท่านั้นเอง ขอให้มีความเชื่อมั่นได้” พล.อ.เฉลิมพลให้คำตอบ

แต่ทว่า ก็ไม่ประกาศให้ชัดถ้อยชัดคำ นอกเสียจากยิ้ม พยักหน้า เมื่อนักข่าวถามว่า ให้ยืนยันได้หรือไม่ว่าจะไม่มีการปฏิวัติ

เพราะเชื่อว่า พล.อ.เฉลิมพลรู้ดีว่า การรัฐประหาร เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก

อีกทั้ง พล.อ.เฉลิมพลเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ที่แม้เป็นผู้บังคับบัญชาของ ผบ.เหล่าทัพ แต่ทว่า ก็ไม่ได้คุมกำลังรบ เพราะเป็นที่รู้กันดีในสังคมไทยว่า คนที่จะปฏิวัติรัฐประหารได้นั้นคือ ผบ.ทบ.

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้

ขณะที่บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.คอแดง และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 เลี่ยงที่จะตอบ หรือยืนยันว่าไม่มีปฏิวัติ เพราะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะโดยสถานการณ์แล้ว ควรจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการช่วยเหลือประชาชนที่ถูกน้ำท่วม

“คิดถึงประชาชนก่อน สำคัญที่สุด” พล.อ.ณรงค์พันธ์ระบุ พร้อมกับเตือนสติว่า ความสามัคคีจะทำให้รอดพ้นทุกอย่าง

ยิ่งหากย้อนดูการจัดทัพในการแต่งตั้งโยกย้ายนายพล ทบ.ที่ผ่านมา และการจัดวางตัวนายทหารระดับพันเอกพิเศษ ผู้บังคับการกรม และรองนายพลที่ผ่านมา ก็เป็นการกระชับอำนาจ ผบ.ทบ.ให้มั่นคง ที่กำลังจะตามมาด้วยการจัดทัพระดับผู้บังคับกองพัน ที่คุมกำลัง

จึงไม่แปลกที่การเมืองไทยจะถูกจับจ้องเขม็งว่า หลังมีการยุบสภา และเลือกตั้งในปี 2566 หากมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง มีม็อบ มีความวุ่นวาย ทหารจะรัฐประหารหรือไม่ หลังจากที่มีรัฐมนตรีบางคนในรัฐบาล แถมใกล้ชิด 3 ป. บอกจะไม่มีเลือกตั้ง จนทำให้หวาดเกรงกันว่าทหารจะรัฐประหาร

พล.อ.เฉลิมพล ตั้งข้อสังเกตว่า หากจะไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร แต่อาจจะเป็นเรื่องอื่นก็ตาม

แต่ดูเหมือนน้องๆ ทหารในกองทัพ ตั้งความหวังกับพี่ป้อม พี่ป๊อก พี่ตู่ ในการบริหารจัดการอำนาจทางการเมืองให้ได้สำเร็จ และมีชัยชนะในการเลือกตั้ง และกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้ง เพื่อยื้อเวลาปัญหาทางการเมือง และยืดเวลาการปฏิวัติรัฐประหาร ให้เนิ่นนานออกไป หรือไม่เกิดขึ้นอีกเลย

เพราะดูเหมือนไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัว ด้วยการปฏิวัติรัฐประหารอีก แม้จะเพิ่งผ่านไปแค่ 8 ปีก็ตาม