3 มิตร ‘ปูติน-สี-คิม’ แนวโน้มที่น่ากังวลของโลก

ปีนี้เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์การเมืองโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะหลังจากรัสเซียเปิดฉากทำสงครามบุกยูเครน ที่ทำให้รัสเซียถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกอย่างหนัก จนต้องหันมาจับมือกับพันธมิตรทางการเมืองที่อยู่ในขั้วอำนาจเดียวกันหรือมีปฏิปักษ์เดียวกันให้แน่นยิ่งขึ้น

หนึ่งในพันธมิตรสำคัญที่รัสเซียต้องจับมือไว้ให้มั่นนั่นคือ จีน อีกชาติมหาอำนาจโลก ที่มักจะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับรัสเซียเป็นส่วนใหญ่เมื่อต้องเผชิญหน้าต่อกรกับขั้วอำนาจตะวันตกในประเด็นพิพาทขัดแย้งใดที่มีผลประโยชน์ของจีนหรือรัสเซียเข้าไปเกี่ยวข้อง

เมื่อต้นปีนี้ก่อนหน้าที่การบุกรุกรานยูเครนของรัสเซียจะเริ่มต้นขึ้นเพียงไม่นาน จู่ๆ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ก็ได้ประกาศความเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันแบบไร้ขีดจำกัด” ในระหว่างที่ปูตินเยือนแดนมังกร เป็นการส่งสัญญาณถึงการยกระดับความสัมพันธ์ของสองชาติให้มีความลึกซึ้งไปอีกระดับขั้นหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศในเวทีการเมืองระหว่างประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหาตึงเครียด

คำประกาศนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่เน้นย้ำให้เห็นถึงการพยายามจะผนึกกำลังร่วมกันมากขึ้นกว่าที่เคยมีมาของรัสเซียและจีน โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับความท้าทายจากสหรัฐอเมริกา ที่ทั้งรัสเซียและจีนต่างมองว่ามีท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์คุกคามต่อตนเอง

โดยความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาก็เสื่อมทรามลงอย่างหนัก โดยเฉพาะกรณีล่าสุดหลังการดึงดันเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยไม่สนคำเตือนของทางปักกิ่งว่าเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยของจีนเหนือดินแดนไต้หวัน ทำเอาช่องแคบไต้หวันร้อนระอุเมื่อจีนเปิดฉากซ้อมรบรอบเกาะไต้หวันครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่ต้องจับตาคือ คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ที่หันมากระชับมิตรกับฝ่ายรัสเซียมากขึ้น ด้วยการแสดงไมตรีจิตต่อปูตินหลายต่อหลายครั้ง

ครั้งหนึ่งนั้นเป็นวันที่รัสเซียรำลึกถึงชัยชนะเหนือญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยคิม จอง อึน ส่งสารถึงปูตินด้วยการยกย่องสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นการสนับสนุนความร่วมมือทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธี และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย

อีกครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ในวาระครบรอบวันเกิด 70 ปีของปูติน ที่มีรายงานว่า คิม จอง อึน ได้ส่งสารแสดงความยินดีกับปูตินที่สามารถทำลายความท้าทายและภัยคุกคามจากสหรัฐอเมริกาได้ ขณะที่ก่อนหน้านั้น เกาหลีเหนือยังเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่มิตรประเทศของรัสเซีย ที่ประกาศรับรองการแยกตัวเป็นอิสระของหลายภูมิภาคในยูเครน กระทั่งถึงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ประกาศสนับสนุนการผนวก 4 แคว้นในยูเครน อันประกอบด้วย ลูฮานสค์ โดเนตสค์ ซาปอริซเซีย และเคอร์ซอน เข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย

นี่เป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับเกาหลีเหนือถูกยกระดับให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในท่ามกลางสภาวะที่ทั้งสองชาติต่างถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกเหมือนกัน

โดยในส่วนของเกาหลีเหนือยิ่งโดดเดี่ยวตัวเองจากการตะลุยทดสอบยิงขีปนาวุธเป็นว่าเล่นเรื่อยมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงสัปดาห์นี้ โดยไม่สนเสียงขู่เตือนถึงการคว่ำบาตรตอบโต้จากชาติตะวันตก

การผนึกกำลังเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกันยิ่งขึ้น จึงสมประโยชน์แก่ทั้งสามฝ่ายในห้วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างต้องหาพันธมิตรร่วมหัวจมท้ายในการต่อกรกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกา ที่ยังคงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งโลก

 

ข้อเขียนของอาร์โทม ลูคิน อาจารย์จากมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทิร์น เฟเดอรัล ในวลาดิวอสต็อก ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ 38 นอร์ธ มองถึงพัฒนาการความสัมพันธ์ของรัสเซียกับเกาหลีเหนือว่า การทำสงครามรุกรานยูเครน ที่รัสเซียเลี่ยงบาลีด้วยการใช้คำเรียกขานว่า “ปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน” ได้นำไปสู่ความเป็นจริงใหม่ทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่รัสเซียและเกาหลีเหนือมีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น

จนบางทีอาจพัฒนาไปถึงจุดที่เป็นการพลิกฟื้นคืนกลับมาของความสัมพันธ์เยี่ยงพันธมิตรที่เคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ในช่วงสงครามเย็น ที่เกาหลีเหนือได้รับการหนุนหลังจากรัสเซียที่ก็คือสหภาพโซเวียตในช่วงเวลานั้น รวมถึงจีนด้วย ในการทำสงครามสู้รบกับเกาหลีใต้และพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐ ในสงครามเกาหลีช่วงปี 1950-1953

จากที่ก่อนหน้านั้นความสัมพันธ์ของเกาหลีเหนือกับจีนและรัสเซียดูเย็นชากันไป หลังจากจีนและรัสเซียร่วมยกมือโหวตสนับสนุนมติสหประชาชาติในการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือกรณีทดสอบนิวเคลียร์ ก่อนที่คิม จอง อึน จะปรับปรุงความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น จนได้พบหน้ากับปูตินเป็นครั้งแรกที่วลาดิวอสต็อกในปี 2019

จากความสัมพันธ์ของรัสเซียและจีน กับชาติตะวันตก รวมถึงสหรัฐอเมริกา ที่เสื่อมทรามลงอย่างหนัก จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่จะเห็นทั้งสองประเทศผนึกกำลังกับเกาหลีเหนือในการเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด เพราะอย่างน้อยก็สร้างความปั่นป่วนท้าทายให้กับสหรัฐอเมริกาได้อีกแรงหนึ่ง

ซึ่งในความเห็นของผู้สันทัดกรณีรายหนึ่งมองว่า นี่อาจยังไม่ใช่กลุ่มอักษะปีศาจใหม่ แต่ก็เป็นแนวโน้มที่น่าห่วงกังวลในโลกที่เต็มไปด้วยความแปรปรวน!