มหากะลานคร ยังไม่ตาสว่าง | เหยี่ยวถลาลม

3 ตุลาคม 2565 ขณะประเทศกำลังผจญกับอุทกภัย “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีมากว่า 8 ปี โชว์วิสัยทัศน์ต่อข้าราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างนี้

“วันนี้ผมได้เขียนร่างนโยบายที่จะสั่งการมาแล้ว เพื่อให้แจ้งเตือนประชาชน ซึ่งหน่วยงานต้องเตรียมความพร้อมตามแผน…รวมถึงไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ต้องให้ใช้ได้นานที่สุด ถ้าระบบมันล่มไปทั้งหมด การสื่อสารแจ้งข้อมูลจะทำได้ลำบาก อาจต้องไปใช้วิทยุทรานซิสเตอร์ในการออกอากาศแจ้งเตือนประชาชนได้อีกทาง”

ขึ้นต้นอย่างนั้น…แต่ลงท้ายกลับเป็นอย่างนี้

“ผมเองก็ไม่รู้จะสั่งอะไรเพราะทั้งหมดอยู่ในแผนปฏิบัติการของหน่วยงานอยู่แล้ว นายกฯ แค่มาย้ำหน่อยนะ มาให้กำลังใจ”

สรุปความได้ว่าในการประชุมรับมืออุทกภัย “ประยุทธ์” ไม่ได้พกพาอะไรมา เพียงชี้แนะให้เป็นที่ฮือฮาว่า “อาจต้องไปใช้วิทยุทรานซิสเตอร์”

เหมือนจะไม่ผิด แต่ผิด

เหมือนผิด แต่ก็ไม่ผิดที่กล่าวถึง วิทยุทรานซิสเตอร์ ในฐานะอุปกรณ์หนึ่งซึ่งสามารถใช้ในภาวะประสบภัยพิบัติขณะไม่มีไฟฟ้าใช้ ระบบการสื่อสารล่ม ก็ใช้ถ่านไฟฉายใส่วิทยุแล้วคอยสดับตรับฟังข้อมูลข่าวสารทางวิทยุระบบเอเอ็ม และเอฟเอ็ม

แต่ข้อเท็จจริง “วิทยุทรานซิสเตอร์” ล้มหายตายจากไปไม่น้อยกว่า 40 ปี แม้ยังไม่สิ้น แต่จะมีสักกี่หลังคาเรือนที่ยังคงมีใช้

กระแสวิทยุทรานซิสเตอร์ยังไม่ทันจางหาย
เกิดเหตุ 6 ตุลาคม 2565

ที่ประเทศไทย ทั่วโลกต้องจดจำความสยดสยอง ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ดินแดนที่ห่างไกลออกไปจากเมืองหลวงกว่า 500 กิโลเมตร “อดีตตำรวจ” ที่ถูกออกจากราชการ เข้ายิงฟันสังหารหมู่เด็กเล็กๆ ขณะนอนหลับกับครูท้องแก่ และประชาชน รวม 38 ชีวิต

เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน

8 กุมภาพันธ์ 2563 “จ่าสิบเอก” นายหนึ่งก่อเหตุยิง “พันเอก” ผู้บังคับบัญชา พร้อมแม่ยายเสียชีวิต แล้วบุกปล้นคลังอาวุธ ยิงเพื่อนทหารตาย ควงอาวุธสงครามเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ใจกลางเมืองโคราช แล้วกราดยิงใส่ประชาชนอย่างบ้าคลั่ง

มีผู้เสียชีวิต 27 คน บาดเจ็บกว่าครึ่งร้อย ตำรวจตาย 2 นาย

รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตื่นตูมกั้นรั้วล้อมคอกกันพักเดียว

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลายปีมานี้ ผู้นำรัฐบาลและกลไกรัฐทุกสายทั้งระบบ “ให้ความสำคัญ” กับอะไร

ประชาชนให้คุณให้โทษไม่ได้ “รัฐราชการ” สอนให้ดูแลนาย ทำหน้าที่ดี มีผลงานไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับการเติบโตก้าวหน้าในตำแหน่งราชการ

ตัวอย่างที่เห็นๆ เช่น นายแพทย์อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผอ.รพ.สิชล นครศรีธรรมราช ที่อยู่โรงพยาบาลสิชล และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงปลุกปั้นมุ่งมั่นพัฒนาโรงพยาบาลสิชลมาเป็นเวลา 30 ปี จนมีศักยภาพและชื่อเสียงเทียบเคียงหรือเหนือกว่าโรงพยาบาลประจำจังหวัดหลายแห่ง

“หมออารักษ์” เหลืออายุราชการแค่ปีเดียว ทำหนังสือแสดงความจำนง “ขออยู่ที่เดิม” ขอเกษียณในปี 2566 ที่ “รพ.สิชล”

กลับมีคำสั่งย้ายให้ออกจาก รพ.สิชลในปีสุดท้ายของชีวิตราชการ!

“หมออารักษ์” เป็นอดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท ปัจจุบันยังเป็นที่ปรึกษาชมรมแพทย์ชนบท คงเป็น “ข้าราชการหัวแข็ง” ที่ไม่เอาใจนาย แต่โน้มตัวลงช่วยเหลือประชาชนผู้ทุกข์ยากลำบากไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อคราวโควิด-19 ระบาดหนัก ประเทศยังไม่มีวัคซีน หมออารักษ์กับชมรมแพทย์ชนบทจัดตารางงาน แบ่งเวลาจากโรงพยาบาลที่ประจำ จัดหมอ จัดพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มาช่วยคน กทม.หลายหนหลายครา

ไม่มีรางวัลสำหรับคุณงามความดี

โลกไม่ได้สวยงามสดใสสามารถก่อให้เกิดความตึงเครียดแก่ผู้อยู่อาศัย และเมื่อมีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้น บ่อยครั้งจากการพบเห็นคือ ผู้เป็นใหญ่มีแต่ปัดสวะให้พ้นตัว!

Photo by PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP

แม้แต่กรณีที่ “อดีตตำรวจ” คลุ้มคลั่งสังหารหมู่สยดสยองไปทั่วโลกครั้งนี้ ผู้นำทางการเมืองคนหนึ่งก็ยังกล่าวออกมาได้ว่า “จะให้ทำยังไง ก็คนมันติดยา”

ความจริงคือยาเสพติดระบาดหนักจริงๆ โรงพักสั่นคลอน ตำรวจหวั่นไหว ไม่กล้าแม้กระทั่งชี้เป้าเพื่อนร่วมงานเพื่อขจัดเนื้อร้ายออกจากองค์กร ยาบ้าซื้อง่าย ขายคล่อง แทบทุกตรอกทุกซอกซอยมีเจ้าหน้าที่คอยเป็นหูเป็นตาให้กับผู้ค้าผู้ขาย ภายใต้การนำของประยุทธ์ที่อยู่เกิน 8 ปีนี้ สถานการณ์ด้านยาเสพติดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน

2 มกราคม 2546 มีมติ ครม.ภายใต้การนำของ “ทักษิณ ชินวัตร” กำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” กำหนดระยะเวลา 3 เดือน (1 กุมภาพันธ์-30 เมษายน 2546) แต่ภายหลัง “รัฐประหาร 2549” นโยบายนี้ถูกกระแสโน้มเอียงทางการเมืองพยายามบิดผันจะให้กลายเป็นอาชญากรรมร้ายแรงระหว่างประเทศทำนองเดียวกับการทำสงครามยาเสพติดของรัฐบาลนายฟิลิเป้ คาลเดรอน ประเทศเม็กซิโก

หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็เป็น “ยุคทอง” ของนักค้ายาเสพติดและอาชญากรรม มีตัวอย่างข้อเท็จจริงที่ชวนตะลึง เช่น “ผู้กำกับโจ้” อดีตหัวหน้าสถานีตำรวจอำเภอเมือง นครสวรรค์ ด้วยอายุราชการเพียง 17 ปี กลับมีเงินเดินสะพัดในบัญชีกว่า 1,243 ล้านบาท มีบ้านและรถหรูอีกเกือบ 20 คัน ถามว่า ลำพังอาชีพตำรวจที่ยศแค่ “พันตำรวจเอก” ถ้าไม่ทำผิดกฎหมาย จะมีทรัพย์สินเฉียด 1,500 ล้านบาทได้ด้วยวิธีใด

ในประเทศที่คำว่า “ผู้ใหญ่” หรือ “นาย” สามารถตีความได้ทั้งทางดีและเลวร้ายนี้ ยังคงมีเส้นทางเถื่อนๆ อีกมากมายที่เหมือนฝุ่นซุกอยู่ใต้พรม!

สุทธิพงษ์ จุลเจริญ

หลังการสังหารหมู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ไม่เห็นหน้ารัฐมนตรีที่นั่งหัวโต๊ะแถลงข่าว พบแต่ 2 ชายท่าทางคล้ายคนกำลังมึนงง “ปลัดมหาดไทย” สุทธิพงษ์ จุลเจริญ กับ “ผบ.ตร.” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ควงคู่กันมา

“ปลัดมหาดไทย” เปิดเผยว่า มีฐานข้อมูลที่ประชาชนสะท้อนความเดือดร้อนผ่านแพลตฟอร์ม ThaiQM ของกรมการปกครอง ระบุว่า 279,094 ครัวเรือน จาก 31,644 หมู่บ้าน (จากทั้งหมด 75,000 หมู่บ้าน) ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหายาเสพติด ซึ่งถ้าเอาจำนวนสมาชิกครอบครัวคูณเข้าไปก็จะได้ตัวเลขประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นหลักล้านคน พร้อมกับทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยคมวาทะว่า “ตอนนี้ไฟยาเสพติดไหม้ประเทศของเราแล้ว ต้องประกาศสงครามกับยาเสพติดอย่างเข้มข้น”

เชิญติดตามดูชมกันต่อไปตามอัธยาศัย!?!!