จุดยืนและอนาคต ‘สุดารัตน์’ มองบ้านเก่าอย่างเข้าใจ สร้างพรรคใหม่ขอเป็นแค่เสาเข็ม

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เผยความในใจว่า ตั้งแต่ออกจากบ้านหลังเก่า ถือว่าบ้านหลังนั้นเรายังรักอยู่ เราก็เป็นคนที่ร่วมสร้างกันมา แม้จะออกมาด้วยความชอกซ้ำแต่ไม่ถือไม่โกรธไม่เคียดแค้น และมองอย่างเข้าใจและเราก็ให้อภัยไม่ถือว่าเป็นอะไรที่ติดค้างกันในใจ

แน่นอนความน้อยเนื้อต่ำใจในตอนต้นๆ อาจจะมี แต่เมื่อเรามองอย่างคนเข้าใจก็ไม่มีความโกรธไม่มีความเคียดแค้น อาจจะเป็นเพราะเราปฏิบัติธรรม เราก็เรียนปริญญาเอกมาด้านนี้ ใช้ความเข้าใจและเหตุผล

การเมืองวันนี้ประเทศไทยติดล็อก 2 ขั้ว คนมีอำนาจคนที่ถือปืนเขาเล่น 2 บทบาท เขาเล่นบทเป็นกรรมการ และเป็นคู่ขัดแย้งเอง เราต้องออกจากกรอบนี้ เราจะทำสำเร็จหรือเปล่าไม่รู้ แต่เราตั้งใจทำแบบนั้น

นึกย้อนกลับไปพินิจพิจารณาหลายหนก็เห็นว่าทางออกมีทางเดียวคือ ต้อง “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” 2 ขั้วให้ได้ มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถไปรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะตัวเรายังอ่อนแอ

เราคิดว่าปัญหาของประเทศเวลานี้คือการที่ไม่มีใครคิดเรื่องการสร้างรายได้อย่างจริงจัง มีแต่การกู้ รัฐบาลนี้กู้เงินจะทะลุ 10 ล้านล้านแล้ว หนี้ครัวเรือน 90% ของจีดีพี ตลอดระยะเวลาปีกว่าที่เรามาเริ่มทำพรรคการเมือง เราได้เดินทางพบคนมากมาย รับฟังตั้งแต่เกษตรกรยันนักอุตสาหกรรม มีการพูดคุยถึงปัญหาของแต่ละส่วน จึงมองว่าเรื่องเร่งด่วนที่เราต้องทำคือการสร้างรายได้ ปลดล็อกโอกาสให้กับคนต่างๆ

และในหลักการเรามองว่าต้องปลดล็อกความขัดแย้งของบ้านเมืองลงก่อน เพราะเลือกฝั่งหนึ่งก็ติดหล่ม อีกฝั่งหนึ่งก็ติดล็อก มันเป็นอย่างนี้ บ้านเมืองไปไม่ได้แน่นอน ก็จะกลับไปวังวนแบบเดิม คือ “การรัฐประหาร”

เราจึงเสนอเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพื่อที่จะยุติความขัดแย้ง ที่พอฝั่งหนึ่งเขียนก็สืบทอดอำนาจ อีกฝ่ายหนึ่งเขียนก็ไม่ถูกยอมรับ

ดังนั้น ต้องให้ประชาชนเขียน

ในการฟื้นเศรษฐกิจ คุณหญิงสุดารัตน์บอกว่า ต้องปลดล็อกกฎหมายใบอนุญาตที่รุงรัง เป็นอุปสรรคขวางกั้นการทำมาหากินของประชาชน เราจะออก พ.ร.บ. 1 ฉบับ เพื่อแขวนการใช้ใบอนุญาตที่ไม่จำเป็น และเป็นช่องในการรีดไถทุจริต ที่สำคัญคือเป็นอุปสรรคขวางกั้นการทำมาหากินของประชาชนที่มีมากกว่า 1,300 ฉบับ ออก พ.ร.บ.ฉบับเดียวก็แขวนที่เหลือไว้ 3-5 ปี

ควบคู่กับการทำกิโยตินกฎหมาย เพื่อทำให้ “ประชาชน” ลุกขึ้นมาทำมาหากินได้เร็วที่สุดทันที ควบคู่กับการสร้างพลังอำนาจให้ประชาชน คนตัวเล็กให้รวมตัวกันได้ ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน แหล่งความรู้ และตลาด เราจะทำหลักๆ คือ มองขาของการสร้างรายได้เพื่อมากลบหนี้ หารายได้มาล้างหนี้ เราต้องดึงความแข็งแรงของประเทศทั้งเรื่องอาหาร การท่องเที่ยว medical Hub ศูนย์กลางโลจิสติกส์ กลับมาให้ได้

ทั้งหมดนี้อยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้นำและวาง Position ของประเทศได้ถูกต้อง ต้องทำให้ตัวเองเป็นสาวสวยให้ทั้งตะวันตกและตะวันออกมารุมจีบ

เรามองว่าวันนี้ปัญหาของประเทศไม่ได้ติดแค่กับดักรายได้ปานกลางเพียงอย่างเดียว เรากำลังติดอันดับหนี้มโหฬารทั้งประชาชนและรัฐบาลต้องคิดถึงเรื่องการหารายได้ให้เป็นหลัก

พูดถึงการวางหลักว่าเราจะไม่ขัดแย้งกับใคร อยากจะชวนคนไทยคิดว่าที่ขัดแย้งกันมา 16 ปีตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549 ความขัดแย้งมันซึมลึกไปถึงระดับคนในครอบครัวเพื่อนฝูงคุยกันไม่ได้เลย ก็เห็นผลแล้วว่าวันนี้พวกเราก็คือเหยื่อของคนที่มีปืนและมีรถถัง อ้างเรื่องความขัดแย้งโดยใช้รถถังและปืนมาสืบทอดอำนาจการปกครองประเทศทุกครั้งที่เราทะเลาะกันเรากลายเป็นเหยื่อ เราจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปหรือ

เราต้องใช้คำว่าการก้าวข้ามความขัดแย้งไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สนใจเรื่องความเห็นต่าง เราต้องรับฟังคนเห็นต่างอย่างมีเหตุผล และมาดูว่าอะไรคือจุดร่วมที่ประเทศจะเดินหน้าได้

ตอนนี้พวกเราทุกคนเหมือนตกอยู่ใต้ก้นเหวแล้ว เราต้องคิดว่าทำอย่างไรจะต่อตัวกันขึ้นมาก่อน ไม่ใช่ว่าฉันไม่ถูกกับคนนั้น/คนนี้ จะไม่ยอมจับมือคนนี้ขึ้นมาจากเหว ถ้าเป็นแบบนี้ทุกคนจะร่วงเหมือนกันหมด เราต้องต่อตัวกันขึ้นไปให้ได้

คุณหญิงสุดารัตน์ย้ำว่า ณ วันนี้เราไม่มองใครเป็นศัตรู เราแข่งกับตัวเองเป็นหลัก เราเป็นพรรคการเมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ คนยังไม่รู้จักชื่อพรรคมากเพียงพอด้วยซ้ำไป เราก็ต้องขยันให้มากขึ้น ปีกว่าๆ ที่ผ่านมาเราก็ขยันหาคำตอบว่าอะไรคือปัญหาของประเทศและเราจะแก้ปัญหาของประเทศอย่างไรดี แล้วก็ชวนกันมา ช่วยกันมานั่งทำข้อสอบอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ว่าระหว่างที่ทำข้อสอบนี้ไปแล้วก็ถีบคนรอบข้างไปด้วย เอามือไปผลักคนอื่นด้วย ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย

ถ้าเรามีอำนาจ ถ้าได้รับการเลือกตั้งเราจะทำบทบาทที่สำคัญคือการทำให้ระบบยุติธรรม “เป็นธรรมจริงๆ” องค์กรอิสระต้องถูกแก้ไข รัฐธรรมนูญต้องแก้ และต้องส่งเสริมความคิดที่มองเห็นคนเห็นต่างไม่ได้เป็นศัตรู ช่วยกันมุ่งหน้าขับเคลื่อนประเทศ ถ้าเลือกเราประเทศเดินหน้าต่อได้

16 ปีที่ผ่านมาการเมืองแบบนี้ไม่ได้ทำให้ประเทศเดินได้ จริงอยู่ว่าเราอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ถ้านึกเปรียบเทียบต้องไม่ใช่การเอาไข่ไปใส่ในตะกร้าเดียวกันหมด แล้วก็ทะเลาะกันให้เขาปัดไข่ในตะกร้านั้นทิ้งทั้งหมด ก็แตกสลายด้วยกันทั้งหมด

ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารจะเป็นแบบนี้ เขาไม่รู้จะทำยังไงเขาเลยปัดทั้งตะกร้าทิ้ง ถ้าเราสามารถกระจายตะกร้า ไม่มีแรงที่จะปัดทั้งหมดได้ ถ้าเราอยากให้ประเทศเดินหน้าได้เราต้องยุติความขัดแย้งเพื่อให้ทหารหยุดเอาข้ออ้างประเด็นนี้มาใช้ ทั้งที่พวกเขาคือคนขัดแย้งเองด้วยซ้ำแล้วมาอ้าง ชอบทำตัวเป็นกรรมการเล่น 2 บท เราเลยขอเสนอทางเลือกใหม่และเป็นทางรอดประเทศ

จุดยืนเราชัดเจน 1.เป็นพรรคประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.เราไม่เอาการปฏิวัติรัฐประหารอย่างเด็ดขาด นี่คือสิ่งที่เราชัดเจน

แต่เราไม่จำเป็นจะต้องลากใครมาเป็นศัตรูให้คนมาตีกัน เราต้องหาวิธี เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่บอกว่า “ปราบโกง” ก็เห็นอยู่ว่าตอนนี้โกงกันแบบที่ทำให้ประเทศไทยตกอันดับแย่ลงไปอีก จากดัชนีวัดเรตติ้งของนานาชาติ

นี่คืองานชิ้นสุดท้ายที่อยากทำ จริงๆ ก็อยากจะยุติบทบาททางการเมืองแล้ว แต่อยู่ในห้วงที่ทำงานมาเกือบ 31 ปี กลายเป็นช่วงเวลาที่เราไม่เคยเห็นว่าประชาชนยากลำบากขนาดนี้มาก่อน เราไม่เคยเห็นประเทศเราตกต่ำมากขนาดนี้มาก่อน ตลอดเวลาที่อยู่ในการเมือง ชาวบ้านคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนยากจนแย่กันหมด ประเทศตกต่ำในทุกเรื่อง เป็นสิ่งที่ทำให้เราคิดว่า ถ้าเราจะหยุดการเมืองเราขอตั้งองค์กรสักองค์กรหนึ่งให้เป็นสถาบันการเมืองที่เป็นของประชาชน

วันนี้หมดยุคของเราแล้ว เราทำได้แค่เป็นฐานรากและเป็นสะพานเชื่อมคนใหม่ๆ ที่อยู่นอกการเมืองที่มีฝีมือให้เข้ามาทำงานช่วยประเทศและประชาชนออกจากก้นเหว ถ้าไม่ทำในวันนี้ก็ไม่มีโอกาสทำอีกแล้ว และลงไปถึงก้นเหวรอฝังกลบอย่างเดียว

แรงบันดาลใจสำคัญที่สุดอาจจะเป็นลูกๆ ของเรา ทั้งๆ ที่ลูกอยากจะให้ออกจากการเมืองตลอดเวลา แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง ลูกมาบอกว่าเขาอยากให้แม่ทำให้พวกเขาเห็นอนาคตของประเทศและตัวพวกเขาเองบ้าง ก็สะท้อนใจว่าคนรุ่นใหม่มองไม่เห็นอนาคตเลย จึงตั้งใจทำสถาบันการเมืองที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ส. (ที่เราใช้ตัวย่อ) ก็คือย่อมาจากคำว่า “สร้าง” อยากจะรวมคนทุกคนมาสร้างประเทศไทยกันใหม่ เราจะทำตัวเป็นเสาเข็มแล้วรอคนเก่งมาต่อบ้านสร้างชั้นอื่นๆ ต่อ

ซึ่งการมาทำงานการเมืองนี้ทำพรรคนี้ แล้วบอกว่าเราจะต้องได้เก้าอี้เท่านั้นเท่านี้เพื่อต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีแล้วก็ไปนั่งทำงานในรัฐบาล “เราไม่ทำ”

ชีวิตของเราก็ไม่ได้ยากลำบาก ถ้าทำแบบนั้นก็สูญเปล่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาก็หมด ดังนั้น ถ้าจะแขวนนวมหากได้แขวนตอนรุ่งเรืองมันคือความภาคภูมิใจ

แต่ตอนนี้เราอยู่บนซากปรักหักพัง เราก็ขอขึ้นเวทีอีกรอบหนึ่ง

ชมคลิป