บางอย่างในความรักของเรา (29) | ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

บางอย่างในความรักของเรา (29)

 

ที่พักในช่วงสัปดาห์แรกของผมอยู่บนถนนออร์ชาร์ดอันเป็นพื้นที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าและร้านแฟชั่นชั้นนำ แต่กระนั้นในซอกมุมของอาคารมีพื้นที่ที่พร้อมจะให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยว ที่พักของผมเป็นฮอสเทลขนาดกลาง และพื้นที่ส่วนตัวของผมมีเพียงเตียงหนึ่งเตียงและล็อกเกอร์เก็บของเท่านั้นเอง

ผมได้ที่พักแห่งนี้หลังจากลงรถไฟที่สถานีกลางของสิงคโปร์ ชายคนหนึ่งยื่นนามบัตรให้ผมอย่างไม่ไยดี หน้าที่ของเขามีเพียงการยื่นนามบัตร หาใช่การกล่าวคำต้อนรับว่า “สิงคโปร์ยินดีที่คุณมาเยือน” ผมรับนามบัตรจากเขาอย่างไม่ไยดีอีกเช่นกัน และเตร่เดินออกมานอกสถานี เมื่อเทียบกับประเทศมาเลเซีย ประเทศสิงคโปร์ดูทันสมัยกว่า มีอาคารแปลกตามากกว่า อีกทั้งต้นไม้ก็ดูจะมากกว่า แต่ความมีชีวิตชีวาของผู้คนกลับดูน้อยกว่า ชนชาวสิงคโปร์ดูเคร่งเครียดจริงจังและขาดแคลนรอยยิ้ม

แต่นั่นเป็นเพียงข้อสังเกตแรกของผมซึ่งผมอาจผิดพลาดในการทักทำนายก็เป็นได้

 

หลังจากเดินละเรื่อยไปมาตามแนวถนน ผมก็ตัดสินใจเลือกร้านอาหารกินด่วนร้านหนึ่งเป็นที่นั่ง ผมสั่งเบอร์เกอร์ไก่และกาแฟร้อน ร้านอาหารเช่นนี้ดูจะมีลูกค้าสำคัญเป็นวัยรุ่น นักเรียนชายกลุ่มหนึ่งนั่งจับกลุ่มกันที่มุมห้อง พวกเขาน่าจะอยู่ในชั้นมัธยมปลายอันเป็นวัยแห่งการแสวงหา

ผมนึกถึงช่วงเวลาเช่นนั้นของตนเอง การเลือกอนาคตที่ดูไม่แน่นอน ความรู้สึกพลุ่งพล่านของฮอร์โมนทางเพศ ความเงียบเหงาจากการไม่อาจสื่อสารกับผู้ปกครองของตนเอง ทั้งหมดนี้ประเดประดังลงมาไม่ต่างจากน้ำป่าที่ถาโถมใส่เราโดยไม่ปล่อยให้มีช่องว่าง

ในทุกวันของเรามีสิ่งใหม่เกิดขึ้นเสมอ หนวดเครา ขนในบริเวณอวัยวะเพศ เสียงที่แตกพร่า รวมไปถึงความรู้สึกต่อเพศตรงข้ามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สิ่งต่างๆ เหล่านี้มอบความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแก่เรา

แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ฉกฉวยเอาความเยาว์วัยของเราไปด้วยเช่นกัน

 

ผมจบกาแฟแก้วแรกในเวลาเพียงไม่กี่นาที และเนื่องจากมันเป็นกาแฟที่เติมได้ไม่จำกัด ผมจึงลุกจากที่นั่งของตนไปรับกาแฟแก้วที่สองกลับมา ท้องฟ้าเบื้องนอกใสกระจ่าง สว่างไสว เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางต่างประเทศเพียงลำพัง หรือหากจะพูดให้ถูกต้องคือเป็นครั้งแรกที่ผมออกจากบ้านมาต่างประเทศเพียงลำพัง

แต่กระนั้นผมหาได้เกิดความหวาดกลัวใดๆ ผมรู้สึกปลอดโปร่งเสียด้วยซ้ำที่โยนหลายอย่างที่ค้างคาทิ้งไป ไม่จำเป็นหรอกว่าเราเป็นใครในอดีต และเราจะเป็นใครในอนาคต สิ่งสำคัญคือเราเป็นใครในปัจจุบันต่างหาก นั่นเองคือสิ่งสำคัญอย่างแท้จริง โลกเคลื่อนไปโดยไม่แยแสในความทุกข์ของเรา มันไม่ได้แตกดับตามความทุกข์ของเราหรือลุกโชติช่วงตามความสุขของเราด้วยเช่นกัน

เราเป็นเพียงฝุ่นธุลีในโลกนี้และหากจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับมันก็คือเมื่อเราจากโลกนี้ไป ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านและรวมเข้ากับฝุ่นธุลีดั้งเดิมที่มีมา

เด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน พวกเธอตรงเข้าไปสมทบกับเด็กหนุ่มกลุ่มนั้น ชุดนักเรียนที่นี่มีความเป็นสากลกว่าชุดนักเรียนในประเทศไทย นักเรียนชายนุ่งกางเกงขายาว ผูกเน็กไท นักเรียนหญิงนุ่งกระโปรงสั้น ใส่ถุงเท้าเสมอหัวเข่า เด็กนักเรียนหนุ่มคนหนึ่งจุดบุหรี่ขึ้นสูบก่อนจะเขี่ยเถ้าของมันลงบนที่เขี่ยบุหรี่

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอนไหล่ของเธอให้เด็กผู้ชายคนนั้นซบ มันเป็นภาพที่พาผมย้อนคืนกลับไปหาปิ่น ใบหน้าของปิ่นที่ซบลงบนไหล่ของผมหลังจากการอ่านหนังสือสอบอันยาวนานทำให้ความหลังจำนวนมากหลั่งไหลกลับมาหาผม

น้ำตาที่ไม่เคยปรากฏมาเนิ่นนานแล้วปรากฏบนดวงตาของผม ผมใช้กระดาษชำระที่มาพร้อมกับมื้ออาหารทำความสะอาดมันและหยิบนามบัตรที่ได้รับมาขึ้นดู

มันเป็นนามบัตรว่าด้วยที่พัก ไม่ใช่นามบัตรขายสินค้าอย่างที่ผมเข้าใจ

 

ผมพลิกนามบัตรนั้น ด้านหลังของมันมีรูปแผนที่คร่าวๆ พร้อมตำแหน่งแห่งที่และราคาห้องพัก ห้องเดี่ยวนั้นราคาสูงเกินไปสำหรับผม แต่ห้อง Dormitory หรือห้องพักรวมเป็นห้องที่ให้ราคาสมเหตุสมผล ผมต้องหางานทำให้ได้เร็วที่สุดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

ระหว่างการเดินทางผมขบคิดถึงงานที่ตนเองสามารถทำได้ แน่นอนผมคงต้องอยู่ในประเทศนี้อย่างผิดกฎหมาย ผมไม่ได้มีวีซ่าทำงาน ผมไม่ได้เข้าเมืองมาในฐานะคนทำงาน สถานภาพของผมคือนักท่องเที่ยว

แต่กระนั้นผมก็รู้ดีว่าแรงงานจำนวนมากในประเทศนี้ล้วนเป็นแรงงานผิดกฎหมาย

ปีหรือสองปี ผมน่าจะเก็บเงินได้มากพอหากตั้งใจ

ปีหรือสองปีผมน่าจะเติบโตและหลุดพ้นจากวังวนเดิม

ปีหรือสองปีผมน่าจะกลายเป็นคนใหม่แล้ว ดังนั้น งานอะไรก็ได้ที่ผมเชื่อว่าเขาต้องการผม ผมจะไม่ปฏิเสธ กรรมกรก่อสร้าง พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร ยามรักษาความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งคนทำความสะอาดท้องถนน ผมไม่เกี่ยง

ผมเชื่อว่าทุกอย่างที่นี่จะทำให้ผมกร้านและจริงจังกับชีวิตมากขึ้น หากโจดี้มี “ปีว่าง” ของเธอที่ผจญภัยไปในภูมิประเทศต่างๆ ผมก็จะมีปีว่างของผมที่ผจญภัยไปในฝูงคน

ผมกัดเบอร์เกอร์ที่เหลืออยู่จนหมด นำถาดที่เต็มไปด้วยขยะไปวางไว้ในที่ที่เขาจัดไว้ ความสะอาดดูจะเป็นสิ่งที่ท่านผู้นำแห่งประเทศนี้คือ ลี กวน ยู ให้ความใส่ใจอย่างมาก ไม่มีขี้บุหรี่บนท้องถนน ไม่มีเศษกระดาษ ไม่มีขยะ

สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ ที่ราวกับมีมือขนาดใหญ่ทำความสะอาดเช็ดถูมันทุกวัน รวมถึงผู้ใช้สอยที่ดูแลเกาะแห่งนี้อย่างดี

 

นาทีต่อมาผมถือนามบัตรในมือไปยังพนักงานภายในร้าน เอ่ยถามเขาด้วยภาษาอังกฤษว่าหากผมต้องการจะเดินทางไปยังถนนออร์ชาร์ด ผมจะมีวิธีเดินทางอย่างไรบ้าง เขาพลิกดูนามบัตรของผมไปมาครู่หนึ่ง ก่อนจะยกนิ้วขึ้นสามนิ้ว

วิธีแรก เขาเอ่ย คุณสามารถไปยืนรอเรียกรถรับจ้างได้ยังที่จอดรถรับจ้างซึ่งอยู่ห่างหน้าร้านไปสองช่วงถนน

วิธีที่สอง คือคุณสามารถขึ้นรถไฟใต้ดินซึ่งสถานีถัดไปคุณสามารถเดินทางไปถึงได้ในห้านาที

และวิธีที่สาม คุณสามารถไปขึ้นรถประจำทางที่ป้ายรถประจำทางหน้าร้าน ผมกล่าวขอบคุณพนักงานคนนั้น ข้อดีของสิงคโปร์คือแทบทุกคนในประเทศสามารถใช้ภาษาอังกฤษสำหรับการสื่อสารได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะติดสำเนียงเฉพาะที่เรียกว่า Singlish อยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญใดเลย

ผมเอาเป้สัมภาระขึ้นบ่า เดินตรงไปที่ป้ายรถประจำทาง เศษเหรียญและธนบัตรสิงคโปร์ถูกผมกำไว้ในมือจนแน่น ผมรอรถหมายเลขที่พนักงานแนะนำอยู่ราวห้านาที และเมื่อรถคันนั้นมาถึง ผมก็ก้าวขึ้นไปพร้อมกับเงินในมือ ผมหยอดเหรียญทั้งหมดที่มีลงในช่อง พนักงานขับรถดูจะไม่แยแสกับจำนวนเหรียญนัก และอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็ลงรถที่ถนนออร์ชาร์ด

งานแรกที่ผมได้ทำได้มาแบบง่ายๆ หลังการไปกินอาหารที่ร้านริมทางในคืนนั้น มีป้ายประกาศรับสมัครคนทำความสะอาด ผมกินอาหารมื้อนั้นจนหมดและเดินเข้าไปแนะนำตนกับผู้เป็นเจ้าของร้าน

และวันรุ่งขึ้นผมก็เริ่มงานแรกในสิงคโปร์ด้วยการทำความสะอาดทุกอย่างในร้านแห่งนั้น

 

งานทำความสะอาดคืองานแห่งความถี่ถ้วน เราต้องทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกกับอุปกรณ์ทั้งหลายที่อยู่บนพื้น ใช้น้ำยาล้างจานกับจานและสิ่งอื่น ผมทุ่มเทกับงานนี้เดือนแล้วเดือนเล่าจนเก็บเงินได้มากพอ หลังจากนั้นผมย้ายออกจากฮอสเทลไปเช่าห้องพักเล็กๆ ห้องหนึ่งแถบเกลัง ที่นั่นผมพบว่าเพื่อนห้องข้างเป็นชาวไทย เขาให้คำแนะนำกับผมถึงการใช้ชีวิตที่นี่ สิ่งสำคัญคือการต้องรู้จักชุมชนของคนไทย

“ที่สิงคโปร์เราจะตามข่าวคราวทุกอย่างของเมืองไทยนั้นได้จากอาคาร Golden Mile” สมเกียรติแนะนำผม ดังนั้น ในเช้าวันอาทิตย์ถัดมา ผมก็นั่งรถประจำทางไปยังอาคาร Golden Mile ที่นั่นมีซูเปอร์มาร์เก็ตของคนไทย มีร้านผัดไทย ร้านก๋วยเตี๋ยว แม้กระทั่งร้านขายส้มตำ ไม่นับร้านที่รับส่งเงินตรากลับประเทศ รวมถึงนิตยสารและหนังสือพิมพ์จากประเทศไทย ผมซื้อหนังสือพิมพ์ไทยฉบับหนึ่งและนั่งลงที่ร้านกาแฟ สั่งโอเลี้ยงหนึ่งแก้วแล้วพลิกหน้าในหนังสือพิมพ์

“ในหน้าสังคมของหนังสือพิมพ์เล่มนั้นมีข่าวงานแต่งงานของปิ่น ปิ่นยืนคู่กับคู่หมั้นที่เป็นสามีของเธอโดยมีพ่อของเธอยิ้มอย่างเบิกบาน” •

 

ท่าอากาศยานต่างความคิด | อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]